ถ้าพูดถึงอาชีพในฝันของใครหลายๆคน
หนึ่งในนั้นต้องมีอาชีพหมออย่างแน่นอน
ซึ่งอาชีพหมอนี้ก็มีหลากหลายสาขาที่น่าสนใจมากมาย วันนี้ Guest
Studyจะพาไปรู้จักกับอาชีพหมอรักษาสัตว์ หรือ ที่เราเรียกกันว่า
"สัตวแพทย์" กับเกสต์สาวอารมณ์ดีของเรา หมอแอ้ม สพ.ญ.นรีรัตน์ สังขะไชย ปัจจุบันเธอเป็นผู้ช่วยวิจัยอยู่ที่
ศูนย์เฝ้าระวังและติดตามโรคจากสัตว์ป่าสัตว์ต่างถิ่นและสัตว์อพยพ
คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ใครที่กำลังสนใจอาชีพสัตวแพทย์ พลาดไม่ได้กับเรื่องราวการเรียนและการทำงานที่เกสต์ของเราได้แชร์ประสบการณ์ของเธอได้อย่างสนุกสนานและเป็นประโยชน์อย่างมากเลยทีเดียว
แรงบันดาลใจที่อยากจะเป็นสัตวแพทย์
สพ.ญ.นรีรัตน์ สังขะไชย แค่เปิดตัวก็เห็นข้อดีของอาชีพนี้แล้วนะคะว่า
ต่อให้เราโสด ก็ไม่จำเป็นต้องใช้คำนำหน้าว่านางสาว (หัวเราะ) แต่มันก็สื่อให้เห็นถึงหน้าที่การงานที่ทำได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ
จริงๆแล้วต้องบอกเลยว่าเข้ามาเรียนสัตวแพทย์ด้วยความไม่รู้ค่ะ
ไม่ได้หาข้อมูลก่อนเลยว่าจะต้องเรียนอะไรบ้าง เราเลือกเรียนจากภาพของสัตวแพทย์ที่มีอยู่ในจินตนาการของตัวเองในตอนนั้น
คิดว่าถ้าเรียนสัตวแพทย์ก็จะได้ช่วยเหลือสัตว์ที่ป่วย และไม่ต้องทำงานอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม
เพราะส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบสัตว์ และชอบการเดินทางค่ะ
หลากอารมณ์ หลายรสชาติ กับประสบการณ์เรียนสัตวแพทย์
สัตวแพทย์ต้องเรียนทั้งหมด 6 ปี
ถ้าจะแบ่งวงจรชีวิตของนักศึกษาสัตวแพทย์คร่าวๆ จะแบ่งได้เป็น 2 ช่วง (ปี1เรียนวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐานทั่วไปขออนุญาตไม่นับนะคะ)
ช่วงแรกคือ PRE-CLINIC ปี 2 และปี 3 จะเรียนวิชาพื้นฐานทางสัตวแพทย์ โดยรวมวิชาที่เรียนในช่วงนี้จะทำให้เรารู้จักสิ่งปกติ
ส่วนช่วงที่ 2คือ CLINIC ปี 4 ถึงปี 6 ที่จะเรียนเกี่ยวกับสิ่งผิดปกติ
การรักษาหรือจัดการสิ่งผิดปกติเหล่านั้น
จริงๆแล้ว
การเรียนก็คล้ายกับนักศึกษาแพทย์ทั่วไปค่ะ นักศึกษาสัตวแพทย์ก็ต้องเรียนกับอาจารย์ใหญ่เหมือนกัน
จะต่างกันก็ตรงที่อาจารย์ใหญ่ของเราเป็นสัตว์และมีความหลากหลายมากกว่า เราเรียนกับอาจารย์ใหญ่ที่เป็นสุนัขเป็นหลัก
และเรียนกับอาจารย์ใหญ่ที่เป็นสัตว์อื่นเช่น สุกร ม้า วัว ไก่ เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของสัตว์แต่ละชนิด
ครั้งแรกที่ได้เรียนกับอาจารย์ใหญ่
ไม่รู้สึกกลัวนะคะ แต่รู้สึกทรมานกับกลิ่นฟอร์มาลีนที่คละคลุ้งซะจนแสบตามากกว่า
แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็เริ่มชินค่ะ นอกจากจะชินกับกลิ่นเฉพาะตัวของฟอร์มาลีนแล้ว ก็ยังชินกับสายตาของคนอื่นๆที่มองเด็กสัตวแพทย์ตอนไปทานข้าวที่โรงอาหารกลางอีกด้วย
เพราะต่อให้ใส่เสื้อกาวน์ยาวตอนเรียน กลิ่นก็จะยังจะติดตัวไปอยู่ดี
ช่วงใกล้สอบ พวกเราก็แทบจะกินนอนกันอยู่ในห้อง
ANATOMY (กายวิภาคศาสตร์) เพราะจะต้องท่องชื่อกระดูก กล้ามเนื้อ
และอวัยวะต่างๆให้ได้ บางครั้งก็จะนัดกันกับเพื่อนๆมานั่งผ่า นั่งท่องกันในห้องนี้นอกเวลาเรียน
บรรยากาศในห้องที่มีแต่อาจารย์ใหญ่ก็ไม่ได้น่ากลัวเสมอไปนะคะ
มีครั้งหนึ่ง ระหว่างนั่งทบทวนบทเรียนกันอยู่ เพื่อนนักศึกษาสัตวแพทย์ชายคนหนึ่งสะกิดเพื่อนสาวแล้วชี้ไปที่อกด้านซ้ายของอาจารย์ใหญ่แล้วถามขึ้นว่า
“รู้ไหมว่าเปิดไปแล้วจะเจออะไร”
ฝ่ายหญิงก็มองตามแล้วตอบชื่อกล้ามเนื้อมัดหนึ่งออกมา ฝ่ายผู้ชายจึงพูดต่อว่า ”ไม่ใช่
ถ้าผ่าลงไปตรงนี้จะเจอหัวใจ” แล้วก็เอามือมาวางที่อกซ้ายของตัวเองพร้อมบอกว่า
“ถ้าเปิดไปตรงนี้ก็จะเจอหัวใจ”....คู่นี้เลยกลายเป็น “คู่รักหมาเน่า”
ที่โจษจันกันมาถึงปัจจุบัน (หัวเราะ)
ช่วงPRE-CLINIC วิชาที่เรียนส่วนมากจะเน้นการท่องจำและอยู่ในห้องเรียนเสียเป็นส่วนใหญ่
เช่น วิชาBody
Structure and Function ที่รวมเอากายวิภาคศาสตร์,
จุลกายวิภาคศาสตร์ (Histology)
และ สรีระวิทยา (physiology) มาอยู่รวมกัน และเรียนติดกันถึง 3 เทอม (แต่ละมหาวิทยาลัยจัดการเรียนการสอนไม่เหมือนกันนะคะแต่เนื้อหาที่เรียนจะคล้ายกัน) วิชาปรสิตวิทยาทางสัตวแพทย์
ที่ต้องศึกษาวงจรชีวิตของพยาธิ เห็บ หมัด เหา ไร
หรือการศึกษาสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าในวิชาจุลชีววิทยาทางสัตวแพทย์(Veterinary Microbiology)
โอกาสจะได้สัมผัสสัตว์(เป็นๆ) มีบ้างเล็กน้อยในวิชาที่มีการสอนเรื่องการดูแลและจับบังคับเบื้องต้น
ซึ่งต้องรู้ตั้งแต่สัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ สัตว์ปีก สัตว์น้ำ สัตว์ทดลองรวมไปถึงสัตว์ป่า
พอขึ้นปีสามเทอมสองก็จะได้เรียนวิชาพยาธิวิทยา
ที่เป็นเหมือนหนังไตรภาคจะไปจบตอนปีสี่เทอมสอง
ที่มันต้องเนิ่นนานขนาดนั้นก็เพราะสอนเกี่ยวกับกลไกการเกิดโรคและรอยโรคต่างๆ
ที่มีมากมาย
มาถึงช่วงCLINIC
จากที่ผ่าอาจารย์ใหญ่มาตอนปีเด็กๆ ก็จะได้เรียนผ่าซากในวิชาพยาธิวิทยา
เราผ่าสัตว์ตายเพื่อหาว่าเค้าตายจากอะไร และเรียนผ่าตัดสัตว์เป็นๆในวิชาศัลยศาสตร์
ในการเรียนผ่าตัดจะมีการจับกลุ่ม กลุ่มละ 4 คนค่ะ เพราะโดยทั่วไปการผ่าตัดจะต้องมีคนทำหน้าที่เตรียมตัวสัตว์ วางยาสลบ
ผู้ช่วยผ่าตัด และคนผ่าตัด และจะสลับสับเปลี่ยนหน้าที่กันไปเรื่อยๆในการผ่าตัดแต่ละครั้ง
ตั้งแต่ต้นเทอมแต่ละกลุ่มมอบหมายให้รับผิดชอบดูแลสุนัขหนึ่งตัวที่จะให้ในการเรียนตลอดหนึ่งเทอมเราต้องคอยคอยดูแลเก็บอุจจาระ
ทำความสะอาดกรง ถ้าเริ่มมีผ่าตัดแล้วก็ต้องคอยให้ยา สังเกตุอาการหลังผ่าตัดว่าเค้ามีอาการผิดปกติอะไรหรือไม่
การเรียนช่วงนี้จึงแทบจะไม่มีวันหยุดเลยค่ะ เสาร์-อาทิตย์ต้องจัดเวรมาให้อาหาร
พาเค้าออกมาเดินเล่น ถึงเราเหนื่อยแต่ถ้าเทียบกับสิ่งที่เค้าเสียสละให้เรามันดูเล็กน้อยไปเลยค่ะ
จำความรู้สึกการผ่าตัดครั้งแรกได้ว่าหัวใจเต้นเร็วและแรงมากตอนก่อนจะกรีดลงไป
แล้วก็แม่นมากค่ะ ระหว่างผ่าดันไปตัดตรงเส้นเลือดพอดี
เลือดทะลักละลาย(ความรู้สึกในตอนนั้น) ตกใจมากค่ะทำอะไรไม่ถูก เพื่อนผู้ช่วยก็ตกใจหยิบผ้าก๊อซซับเลือดเป็นพัลวัน
เพื่อนคนวางยาเห็นท่าจะไม่ดีเลยตะโกนเรียกอาจารย์มาช่วย อาจารย์รีบวิ่งมาดูแล้วบอกว่า
“อ้าว นิ่งกันทำไม หมอก็เอาที่หนีบ หนีบห้ามเลือดไว้สิ” และแกก็เดินจากไป...ก็จริงของแกค่ะ
หนีบปุ๊บ หยุดปั๊บ เรียนก็เรียนมาแล้วแต่พอทำจริงลืมทุกอย่าง ไร้สติมาก พอห้ามเลือดได้ก็ทำกันต่อ
สังเกตเห็นว่าตอนนั้นเพื่อนผู้ช่วยหน้าซีดๆ แต่เจ้าตัวบอกว่ายังไหว เลยช่วยทำกันไปจนเสร็จ
พอเย็บแผลเสร็จ ปิดแผลเรียบร้อย เท่านั้นแหล่ะค่ะ เธอลงไปกองกับพื้น
ทำท่าเหมือนจะเป็นลม อาจารย์และเพื่อนต้องช่วยกันยกออกไปนอกห้องผ่าตัด
เธอก็ค่อยมาสารภาพว่า กลัวเลือด คือถ้าเลือดนิดหน่อยยังพอรับได้
แต่นิ่เลือดทะลักทะลายก็เลยไม่ไหวจะเคลียร์ และก็เป็นเพราะเธอกลัวเลือดนี่แหล่ะค่ะทำให้การผ่าตัดของเธอประณีตมาก
จะตัดอะไรจะค่อยๆทำ ระมัดระวัง เป็นคนที่ใช้ผ้าก๊อซน้อยที่สุดในกลุ่ม
ถ้าคิดว่าการผ่าตัดตื่นเต้นแล้ว
หลังผ่าตัดตื่นเต้นกว่าค่ะ ผ่าตัดครั้งหนึ่งก็กังวลไปอีก 7 วันโดยประมาณก็จนกว่าแผลภายนอกจะติดสนิทแล้วได้ตัดไหม คืนแรกหลังผ่าตัดเสร็จนอนแทบไม่หลับ
คิดวกไปวนมา ว่าเอ๊ะ ผูกเส้นเลือดเส้นนั้นดีรึยังนะ เย็บตรงนั้นแน่นรึเปล่า ลุ้นว่าแผลจะแตกรึเปล่า
เพราะถ้าแผลแตกก็เรื่องใหญ่ ต้องมาแก้ใหม่ซึ่งใช้พลังชีวิต
และเวลานานยิ่งกว่าตอนทำครั้งแรกมาก สงสารสุนัขด้วย
สุนัขที่ใช้เรียนตอนนั้นชื่อ
โดนัทค่ะ เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มตั้งชื่อจากขนสีน้ำตาลที่เห็นได้ชัดตรงรอบตาซ้ายที่ตัดกับขนทั่วตัวที่เหลือที่เป็นสีขาว
จากที่เคยเรียนตอนปีสองว่า สุนัขเป็นสัตว์ที่ให้ความรักโดยไม่มีเงื่อนไขก็เห็นได้อย่างชัดเจนจากโดนัทนี่แหล่ะคะ
ถึงแม้เราเพิ่งเจอกัน ถึงแม้บางครั้งเราจะทำเค้าเจ็บ แต่โดนัทก็ยังดีใจมากทุกครั้งที่ได้เห็นใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่ม
จึงไม่แปลกที่โดนัทมักได้รับการปรนเปรอ ด้วยตับย่างเป็น ออเดิฟ
ตามด้วยข้าวมันไก่พร้อมน้ำซุปของโปรด ถึงแม้คนกินมาม่าแต่น้องหมาต้องได้กินดี เป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆที่เราทำให้เค้าได้
จนถึงวันสุดท้ายที่เรียนผ่าตัด เศร้ามากค่ะ ไม่อยากจะทำเลย
เพราะรู้ว่าหลังผ่าเสร็จเราต้องทำให้เค้าหลับ
แล้วจากไปอย่างสบายที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ หรือเรียกว่า การุณฆาต เพราะตอนนั้นสุนัขจะใช้เป็นอาจารย์ใหญ่ของน้องปีสองยังไม่เพียงพอ
แน่นอนค่ะว่ามันดูโหดร้าย แต่แทนที่เค้าจะจากโลกนี้ไปอย่างเงียบๆเหมือนชีวิตสุนัขจรจัดทั่วไป
เค้ากลับได้เสียสละอย่างใหญ่หลวง บริจาคร่างกายเพื่อเป็นประโยชน์แก่นักศึกษาให้ได้เรียนและได้ช่วยชีวิตสัตว์อื่นๆต่อไป
แต่ในปัจจุบันนี้หลังเรียนเสร็จไม่มีการทำการการุณฆาตแล้วนะคะ
นักศึกษาจะได้รับอนุญาตให้นำสุนัขที่เรียนกลับไปเป็นสมาชิกใหม่ในบ้านในบ้านได้
>> อ่านต่อ ตอนที่2
0 comments: