LightBlog

ถ้าพูดถึงอาชีพในฝันของใครหลายๆคน หนึ่งในนั้นต้องมีอาชีพหมออย่างแน่นอน ซึ่งอาชีพหมอนี้ก็มีหลากหลายสาขาที่น่าสนใจมากมาย วันนี้ Guest ...

สัตวแพทย์สาวอารมณ์ดี สพ.ญ.นรีรัตน์ สังขะไชย PART 1/2


ถ้าพูดถึงอาชีพในฝันของใครหลายๆคน หนึ่งในนั้นต้องมีอาชีพหมออย่างแน่นอน ซึ่งอาชีพหมอนี้ก็มีหลากหลายสาขาที่น่าสนใจมากมาย วันนี้ Guest Studyจะพาไปรู้จักกับอาชีพหมอรักษาสัตว์ หรือ ที่เราเรียกกันว่า "สัตวแพทย์" กับเกสต์สาวอารมณ์ดีของเรา หมอแอ้ม สพ.ญ.นรีรัตน์ สังขะไชย ปัจจุบันเธอเป็นผู้ช่วยวิจัยอยู่ที่ ศูนย์เฝ้าระวังและติดตามโรคจากสัตว์ป่าสัตว์ต่างถิ่นและสัตว์อพยพ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ใครที่กำลังสนใจอาชีพสัตวแพทย์ พลาดไม่ได้กับเรื่องราวการเรียนและการทำงานที่เกสต์ของเราได้แชร์ประสบการณ์ของเธอได้อย่างสนุกสนานและเป็นประโยชน์อย่างมากเลยทีเดียว   

แรงบันดาลใจที่อยากจะเป็นสัตวแพทย์
สพ.ญ.นรีรัตน์ สังขะไชย แค่เปิดตัวก็เห็นข้อดีของอาชีพนี้แล้วนะคะว่า ต่อให้เราโสด ก็ไม่จำเป็นต้องใช้คำนำหน้าว่านางสาว (หัวเราะ) แต่มันก็สื่อให้เห็นถึงหน้าที่การงานที่ทำได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ
จริงๆแล้วต้องบอกเลยว่าเข้ามาเรียนสัตวแพทย์ด้วยความไม่รู้ค่ะ ไม่ได้หาข้อมูลก่อนเลยว่าจะต้องเรียนอะไรบ้าง เราเลือกเรียนจากภาพของสัตวแพทย์ที่มีอยู่ในจินตนาการของตัวเองในตอนนั้น คิดว่าถ้าเรียนสัตวแพทย์ก็จะได้ช่วยเหลือสัตว์ที่ป่วย และไม่ต้องทำงานอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม เพราะส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบสัตว์ และชอบการเดินทางค่ะ  

หลากอารมณ์ หลายรสชาติ กับประสบการณ์เรียนสัตวแพทย์
สัตวแพทย์ต้องเรียนทั้งหมด 6 ปี ถ้าจะแบ่งวงจรชีวิตของนักศึกษาสัตวแพทย์คร่าวๆ จะแบ่งได้เป็น 2 ช่วง (ปี1เรียนวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐานทั่วไปขออนุญาตไม่นับนะคะ)
ช่วงแรกคือ PRE-CLINIC ปี 2 และปี 3 จะเรียนวิชาพื้นฐานทางสัตวแพทย์ โดยรวมวิชาที่เรียนในช่วงนี้จะทำให้เรารู้จักสิ่งปกติ ส่วนช่วงที่ 2คือ CLINIC  ปี 4 ถึงปี 6 ที่จะเรียนเกี่ยวกับสิ่งผิดปกติ การรักษาหรือจัดการสิ่งผิดปกติเหล่านั้น

จริงๆแล้ว การเรียนก็คล้ายกับนักศึกษาแพทย์ทั่วไปค่ะ นักศึกษาสัตวแพทย์ก็ต้องเรียนกับอาจารย์ใหญ่เหมือนกัน จะต่างกันก็ตรงที่อาจารย์ใหญ่ของเราเป็นสัตว์และมีความหลากหลายมากกว่า เราเรียนกับอาจารย์ใหญ่ที่เป็นสุนัขเป็นหลัก และเรียนกับอาจารย์ใหญ่ที่เป็นสัตว์อื่นเช่น สุกร ม้า วัว ไก่ เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของสัตว์แต่ละชนิด

ครั้งแรกที่ได้เรียนกับอาจารย์ใหญ่ ไม่รู้สึกกลัวนะคะ แต่รู้สึกทรมานกับกลิ่นฟอร์มาลีนที่คละคลุ้งซะจนแสบตามากกว่า แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็เริ่มชินค่ะ นอกจากจะชินกับกลิ่นเฉพาะตัวของฟอร์มาลีนแล้ว ก็ยังชินกับสายตาของคนอื่นๆที่มองเด็กสัตวแพทย์ตอนไปทานข้าวที่โรงอาหารกลางอีกด้วย เพราะต่อให้ใส่เสื้อกาวน์ยาวตอนเรียน กลิ่นก็จะยังจะติดตัวไปอยู่ดี

ช่วงใกล้สอบ พวกเราก็แทบจะกินนอนกันอยู่ในห้อง ANATOMY (กายวิภาคศาสตร์) เพราะจะต้องท่องชื่อกระดูก กล้ามเนื้อ และอวัยวะต่างๆให้ได้ บางครั้งก็จะนัดกันกับเพื่อนๆมานั่งผ่า นั่งท่องกันในห้องนี้นอกเวลาเรียน

บรรยากาศในห้องที่มีแต่อาจารย์ใหญ่ก็ไม่ได้น่ากลัวเสมอไปนะคะ มีครั้งหนึ่ง ระหว่างนั่งทบทวนบทเรียนกันอยู่ เพื่อนนักศึกษาสัตวแพทย์ชายคนหนึ่งสะกิดเพื่อนสาวแล้วชี้ไปที่อกด้านซ้ายของอาจารย์ใหญ่แล้วถามขึ้นว่า “รู้ไหมว่าเปิดไปแล้วจะเจออะไร” ฝ่ายหญิงก็มองตามแล้วตอบชื่อกล้ามเนื้อมัดหนึ่งออกมา ฝ่ายผู้ชายจึงพูดต่อว่า ”ไม่ใช่ ถ้าผ่าลงไปตรงนี้จะเจอหัวใจ” แล้วก็เอามือมาวางที่อกซ้ายของตัวเองพร้อมบอกว่า “ถ้าเปิดไปตรงนี้ก็จะเจอหัวใจ”....คู่นี้เลยกลายเป็น “คู่รักหมาเน่า” ที่โจษจันกันมาถึงปัจจุบัน (หัวเราะ)

ช่วงPRE-CLINIC วิชาที่เรียนส่วนมากจะเน้นการท่องจำและอยู่ในห้องเรียนเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น วิชาBody Structure and Function ที่รวมเอากายวิภาคศาสตร์, จุลกายวิภาคศาสตร์ (Histology) และ สรีระวิทยา (physiology) มาอยู่รวมกัน และเรียนติดกันถึง 3 เทอม (แต่ละมหาวิทยาลัยจัดการเรียนการสอนไม่เหมือนกันนะคะแต่เนื้อหาที่เรียนจะคล้ายกัน) วิชาปรสิตวิทยาทางสัตวแพทย์ ที่ต้องศึกษาวงจรชีวิตของพยาธิ เห็บ หมัด เหา ไร หรือการศึกษาสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าในวิชาจุลชีววิทยาทางสัตวแพทย์(Veterinary Microbiology) โอกาสจะได้สัมผัสสัตว์(เป็นๆ) มีบ้างเล็กน้อยในวิชาที่มีการสอนเรื่องการดูแลและจับบังคับเบื้องต้น ซึ่งต้องรู้ตั้งแต่สัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ สัตว์ปีก สัตว์น้ำ สัตว์ทดลองรวมไปถึงสัตว์ป่า

พอขึ้นปีสามเทอมสองก็จะได้เรียนวิชาพยาธิวิทยา ที่เป็นเหมือนหนังไตรภาคจะไปจบตอนปีสี่เทอมสอง ที่มันต้องเนิ่นนานขนาดนั้นก็เพราะสอนเกี่ยวกับกลไกการเกิดโรคและรอยโรคต่างๆ ที่มีมากมาย

มาถึงช่วงCLINIC จากที่ผ่าอาจารย์ใหญ่มาตอนปีเด็กๆ ก็จะได้เรียนผ่าซากในวิชาพยาธิวิทยา เราผ่าสัตว์ตายเพื่อหาว่าเค้าตายจากอะไร และเรียนผ่าตัดสัตว์เป็นๆในวิชาศัลยศาสตร์ ในการเรียนผ่าตัดจะมีการจับกลุ่ม กลุ่มละ 4 คนค่ะ เพราะโดยทั่วไปการผ่าตัดจะต้องมีคนทำหน้าที่เตรียมตัวสัตว์ วางยาสลบ ผู้ช่วยผ่าตัด และคนผ่าตัด และจะสลับสับเปลี่ยนหน้าที่กันไปเรื่อยๆในการผ่าตัดแต่ละครั้ง

ตั้งแต่ต้นเทอมแต่ละกลุ่มมอบหมายให้รับผิดชอบดูแลสุนัขหนึ่งตัวที่จะให้ในการเรียนตลอดหนึ่งเทอมเราต้องคอยคอยดูแลเก็บอุจจาระ ทำความสะอาดกรง ถ้าเริ่มมีผ่าตัดแล้วก็ต้องคอยให้ยา สังเกตุอาการหลังผ่าตัดว่าเค้ามีอาการผิดปกติอะไรหรือไม่ การเรียนช่วงนี้จึงแทบจะไม่มีวันหยุดเลยค่ะ เสาร์-อาทิตย์ต้องจัดเวรมาให้อาหาร พาเค้าออกมาเดินเล่น ถึงเราเหนื่อยแต่ถ้าเทียบกับสิ่งที่เค้าเสียสละให้เรามันดูเล็กน้อยไปเลยค่ะ
จำความรู้สึกการผ่าตัดครั้งแรกได้ว่าหัวใจเต้นเร็วและแรงมากตอนก่อนจะกรีดลงไป แล้วก็แม่นมากค่ะ ระหว่างผ่าดันไปตัดตรงเส้นเลือดพอดี เลือดทะลักละลาย(ความรู้สึกในตอนนั้น) ตกใจมากค่ะทำอะไรไม่ถูก เพื่อนผู้ช่วยก็ตกใจหยิบผ้าก๊อซซับเลือดเป็นพัลวัน เพื่อนคนวางยาเห็นท่าจะไม่ดีเลยตะโกนเรียกอาจารย์มาช่วย อาจารย์รีบวิ่งมาดูแล้วบอกว่า “อ้าว นิ่งกันทำไม หมอก็เอาที่หนีบ หนีบห้ามเลือดไว้สิ” และแกก็เดินจากไป...ก็จริงของแกค่ะ หนีบปุ๊บ หยุดปั๊บ เรียนก็เรียนมาแล้วแต่พอทำจริงลืมทุกอย่าง ไร้สติมาก พอห้ามเลือดได้ก็ทำกันต่อ สังเกตเห็นว่าตอนนั้นเพื่อนผู้ช่วยหน้าซีดๆ แต่เจ้าตัวบอกว่ายังไหว เลยช่วยทำกันไปจนเสร็จ พอเย็บแผลเสร็จ ปิดแผลเรียบร้อย เท่านั้นแหล่ะค่ะ เธอลงไปกองกับพื้น ทำท่าเหมือนจะเป็นลม อาจารย์และเพื่อนต้องช่วยกันยกออกไปนอกห้องผ่าตัด เธอก็ค่อยมาสารภาพว่า กลัวเลือด คือถ้าเลือดนิดหน่อยยังพอรับได้ แต่นิ่เลือดทะลักทะลายก็เลยไม่ไหวจะเคลียร์ และก็เป็นเพราะเธอกลัวเลือดนี่แหล่ะค่ะทำให้การผ่าตัดของเธอประณีตมาก จะตัดอะไรจะค่อยๆทำ ระมัดระวัง เป็นคนที่ใช้ผ้าก๊อซน้อยที่สุดในกลุ่ม

ถ้าคิดว่าการผ่าตัดตื่นเต้นแล้ว หลังผ่าตัดตื่นเต้นกว่าค่ะ ผ่าตัดครั้งหนึ่งก็กังวลไปอีก 7 วันโดยประมาณก็จนกว่าแผลภายนอกจะติดสนิทแล้วได้ตัดไหม คืนแรกหลังผ่าตัดเสร็จนอนแทบไม่หลับ คิดวกไปวนมา ว่าเอ๊ะ ผูกเส้นเลือดเส้นนั้นดีรึยังนะ เย็บตรงนั้นแน่นรึเปล่า ลุ้นว่าแผลจะแตกรึเปล่า เพราะถ้าแผลแตกก็เรื่องใหญ่ ต้องมาแก้ใหม่ซึ่งใช้พลังชีวิต และเวลานานยิ่งกว่าตอนทำครั้งแรกมาก สงสารสุนัขด้วย

สุนัขที่ใช้เรียนตอนนั้นชื่อ โดนัทค่ะ เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มตั้งชื่อจากขนสีน้ำตาลที่เห็นได้ชัดตรงรอบตาซ้ายที่ตัดกับขนทั่วตัวที่เหลือที่เป็นสีขาว จากที่เคยเรียนตอนปีสองว่า สุนัขเป็นสัตว์ที่ให้ความรักโดยไม่มีเงื่อนไขก็เห็นได้อย่างชัดเจนจากโดนัทนี่แหล่ะคะ ถึงแม้เราเพิ่งเจอกัน ถึงแม้บางครั้งเราจะทำเค้าเจ็บ แต่โดนัทก็ยังดีใจมากทุกครั้งที่ได้เห็นใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่ม จึงไม่แปลกที่โดนัทมักได้รับการปรนเปรอ ด้วยตับย่างเป็น ออเดิฟ ตามด้วยข้าวมันไก่พร้อมน้ำซุปของโปรด ถึงแม้คนกินมาม่าแต่น้องหมาต้องได้กินดี เป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆที่เราทำให้เค้าได้ จนถึงวันสุดท้ายที่เรียนผ่าตัด เศร้ามากค่ะ ไม่อยากจะทำเลย เพราะรู้ว่าหลังผ่าเสร็จเราต้องทำให้เค้าหลับ แล้วจากไปอย่างสบายที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ หรือเรียกว่า การุณฆาต เพราะตอนนั้นสุนัขจะใช้เป็นอาจารย์ใหญ่ของน้องปีสองยังไม่เพียงพอ  แน่นอนค่ะว่ามันดูโหดร้าย แต่แทนที่เค้าจะจากโลกนี้ไปอย่างเงียบๆเหมือนชีวิตสุนัขจรจัดทั่วไป เค้ากลับได้เสียสละอย่างใหญ่หลวง บริจาคร่างกายเพื่อเป็นประโยชน์แก่นักศึกษาให้ได้เรียนและได้ช่วยชีวิตสัตว์อื่นๆต่อไป แต่ในปัจจุบันนี้หลังเรียนเสร็จไม่มีการทำการการุณฆาตแล้วนะคะ นักศึกษาจะได้รับอนุญาตให้นำสุนัขที่เรียนกลับไปเป็นสมาชิกใหม่ในบ้านในบ้านได้ 

 >> อ่านต่อ ตอนที่2




0 comments: