LightBlog

2 ปีสุดท้าย กว่าจะได้เป็นสัตวแพทย์ พอขึ้นเรียนปี 5 จะเริ่มเรียนวิชา อายุรศาสตร์ ก็คือการรักษาและการจัดการที่เป็นการนำความรู้ตั้ง...

สัตวแพทย์สาวอารมณ์ดี สพ.ญ.นรีรัตน์ สังขะไชย PART 2/2

2 ปีสุดท้าย กว่าจะได้เป็นสัตวแพทย์
พอขึ้นเรียนปี5 จะเริ่มเรียนวิชา อายุรศาสตร์ ก็คือการรักษาและการจัดการที่เป็นการนำความรู้ตั้งแต่ที่เรียนมาทั้งหมดมาประยุกต์ใช้ ซึ่งก็จะแบ่งออกไปตามชนิดของสัตว์ ได้แก่ สัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ สัตว์ปีก สุกรม้า สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษ สัตว์น้ำ สัตว์ทดลอง บอกได้เลยว่าโหดหิน ดูดพลังชีวิตอย่างมากต้องอ่านหนังสือกันอย่างบ้าคลั่งวิชาอายุรศาสตร์ จะเรียนทฤษฎีไปพร้อมๆกับฝึกปฏิบัติ การฝึกปฏิบัติโดยมากก็จะตามอาจารย์ไปทำเคสต่างๆ ดังนั้นเราควรจะต้องเตรียมตัวไปให้ดีที่สุดเพื่อที่จะตอบคำถามของอาจารย์ให้ได้ แต่โดยส่วนมากสิ่งที่เตรียมไปมักจะไม่ได้เจอ สิ่งที่เจอมักจะไม่ได้เตรียมไป เลยจะถูกอาจารย์ปลิดชีพด้วยคำถามที่ไม่สามารถตอบได้อยู่บ่อยๆ ก่อนฝังกลบแกก็จะสั่งให้กลับไปหาคำตอบมาเพิ่มเติม ถ้าเรากลับมาตอบได้ก็จะมีสิทธิ์ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง

การถามของอาจารย์เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้และคนไข้ของเราก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือนัก ถามว่าเป็นอะไรก็ไม่บอกได้แต่ทำท่าหงอยๆใส่ หรือคนไข้บางคนก็ไม่ให้ความร่วมมืออย่างชัดเจนโดยการข่วนหรือกัด ยิ่งถ้าเจ้าของบอกว่า สุนัขพี่ไม่เคยกัดใครเค้าเป็นเด็กดี ยิ่งต้องระวังไว้เป็นพิเศษเลยค่ะ เพราะโดยมากจะมากัดเราเป็นรายแรก เคยคุยกับเพื่อนที่เรียนแพทย์ เค้าเปรียบเปรยให้ฟังว่า ดูแล้วสัตวแพทย์จะทำงานคล้ายกุมารแพทย์ ที่คนไข้เป็นเด็กไม่สามารถอธิบายว่าป่วยเป็นอะไร สิ่งที่เราจะต้องทำคือต้องสังเกตอาการของผู้ป่วยเอาเอง พยายามรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุดจากการสังเกตอาการและการตรวจร่างกายด้วยเทคนิคต่างๆก่อนจะตั้งข้อสันนิษฐานว่าสัตว์ป่วยเป็นอะไร.....มันยากตรงนั้นค่ะ และก็ยากยิ่งขึ้นไปอีกที่สัตว์แต่ละชนิดมีโครงสร้างและระบบการทำงานของร่างกายที่แตกต่างกันการรักษาจึงต้องแตกต่างกันไปอีกด้วย

สำหรับปี6 เป็นปีแห่งการฝึกงานค่ะ ไม่มีการเรียนการสอนมีแต่จะให้ขึ้นคลินิกฝึกงานเรียกกันสั้นๆว่า Clinical Rotation โดยแบ่งออกเป็น 7 Stations ได้แก่ สัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษ สัตว์น้ำ ม้า สุกร และสัตว์ปีก ตอนเรียนอาจารย์จะให้จับเป็นกลุ่มกลุ่มละ 4 คน แต่ละกลุ่มจะแยกย้ายกันออกไปฝึกแต่ละที่ที่ละสามอาทิตย์เวียนไปเรื่อยๆจนทุกกลุ่มได้ฝึกครบทุก 7 ชนิดของสัตว์ การฝึกงานทำให้ได้พบเจอประสบการณ์มากมาย บาง Station เราอาจจะต้องรับเคสมือเป็นระวิง ในขณะที่บางStationก็ไม่ได้ทำการรักษาสัตว์เลยซักตัว แต่เราต้องเรียนรู้เรื่องการจัดการ บาง Station อาจจะมีอาจารย์คอยแนะนำ แต่บาง Station คนที่สอนเราก็เป็นเพียงแค่คนงานพม่าที่พูดไทยยังไม่ชัดดี แต่เชี่ยวชาญอย่างยิ่งในสิ่งที่เค้าทำ ดังนั้นสิ่งที่ได้จากตอนฝึกงานจึงไม่ใช่เฉพาะความรู้ทางด้านวิชาการ แต่ยังได้ประสบการณ์อื่นๆอีกมากมายซึ่งถือเป็นการเตรียมความพร้อมที่สำคัญก่อนที่จะจบไปเป็นสัตวแพทย์เต็มตัว  สนุกกว่าการนั่งเรียนหนังสือในห้อง แต่จะเหนื่อยหน่อยก็ตรงที่แทบจะไม่ได้หยุดพัก วันเสาร์-อาทิตย์หลังฝึกเสร็จก็ทำได้แค่รื้อเสื้อผ้าเก่าออกจากกระเป๋า ซัก และยัดมันกลับเข้าไปใหม่เพื่อเตรียมไป Station ถัดไป

และเมื่อวนครบแล้วจะมีเวลาอีกประมาณ 2เดือน ให้ได้เลือกฝึกเพิ่มเติมในชนิดสัตว์ที่เราสนใจ นอกจากนี้ก่อนจบเราจะต้องทำงานวิจัย 1 เรื่อง แล้วจะมีการสอบทบทวนความรู้ก่อนจบค่ะเรียกกันว่า Exit Exam ซึ่งจะมีการสอบข้อเขียน และสอบสัมภาษณ์รายตัวจากผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ โดยอาจจะเป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยอื่น หรือ คุณหมอที่มีประสบการณ์ ต้องสอบให้ผ่านและก่อนจะออกมาทำงานได้อย่างถูกกฎหมาย สัตวแพทย์จะต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ ซึ่งจะได้มาก็ต่อเมื่อเราสอบผ่านการสอบที่จัดขึ้นโดยสัตวแพทยสภา 
กล้ายืนยันค่ะว่าเรียนสัตวแพทย์อย่างไรก็ไม่ตกงาน แต่เรื่องหางานทำให้ตรงกับความชอบตัวเองได้หรือไม่นั่นก็เป็นอีกเรื่อง เพราะมีงานหลากหลายสาขาให้เลือกน่าจะซักไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาสัตวแพทย์ ที่รู้ตัวเองแน่นอนตั้งแต่เริ่มเรียนว่าจบไปแล้วจะทำงานกับสัตว์ชนิดไหน หรือทำงานอะไร ซึ่งโดยส่วนตัวกว่าจะตัดสินใจเลือกได้ก็ตอนปี 6 เลยค่ะ ใช้เวลาระหว่างเรียนและฝึกงานค่อยๆค้นหาตัวเอง ตัดตัวเลือกที่ไม่เข้ากับจริตตัวเองออกไป จนสุดท้ายแล้วตัดสินใจที่จะทำสัตว์ป่าค่ะ

ชีวิตการทำงานของสัตวแพทย์
ในฐานะที่ก็เคยเป็นเด็กมัธยมโลกสวยมาก่อน บอกได้เลยค่ะว่ายังมีอีกหลายแง่มุมที่คนไม่ทราบและหลายแง่มุมที่คนบางส่วนรับไม่ได้ ภาพสัตวแพทย์ในจินตนาการเริ่มสั่นคลอนตั้งแต่เข้าสอบสัมภาษณ์ก่อนเข้าเรียนค่ะ มีอาจารย์ท่านหนึ่งถามว่า ถ้าต้องฆ่าสัตว์ ทำได้รึเปล่า?” ตอนที่ถูกถามก็ตกใจค่ะ เพราะเราคิดว่าเป็นสัตวแพทย์ก็ต้องรักษาสัตว์สิ ทำไมจะต้องฆ่า แต่เมื่อเข้ามาเรียนแล้วก็ทำให้รู้ว่าการกระทำทุกอย่างมีเหตุผล  เราไม่อาจจะปล่อยให้เค้าต้องทุกข์ทรมาน การทำให้เค้าหลับไปอย่างสบายที่สุด เจ็บปวด ทรมานน้อยที่สุดก็เป็นอีกงานหนึ่งที่สัตวแพทย์จำเป็นต้องทำ

เรามักจะโดนคาดหวังจากสังคมค่ะ (เหมือนคนทีทำงานทางแพทย์อื่นๆ) มีคนมาปรึกษาปัญหาสัตว์เลี้ยง ตั้งแต่ทราบว่าได้เข้าเรียนคณะสัตวแพทย์ ทั้งๆที่อยู่แค่ปี 1 ที่ได้เรียนแค่วิชาพื้นฐาน ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวกระตุ้นให้ต้องหาความรู้เพิ่มเติม

อย่างที่ทราบกันว่างานหลักของสัตวแพทย์คืองานรักษาสัตว์ แต่อีกงานที่สำคัญมากคืองานรักษาสภาพจิตใจเจ้าของสัตว์ เพราะปัจจุบันเจ้าของและสัตว์เลี้ยงมีความผูกพันกันมากเหมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว การพูดคุยชี้แจงให้เจ้าของเข้าใจถึงสภานะการณ์ของสัตว์เลี้ยงเป็นเรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่ง และเจ้าของมีหลายประเภทค่ะคนส่วนมากที่เลี้ยงสัตว์ก็มักจะเริ่มจากมีจิตใจที่รักสัตว์ แต่ก็ไม่ใช่คนที่เลี้ยงสัตว์ทุกคนจะมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับสัตว์ที่ตนเลี้ยงหลายครั้งที่การรักและเลี้ยงแบบผิดๆเป็นการทำร้ายสัตว์เลี้ยงของตัวเอง ดังนั้นเราอาจจะต้องสวมบทโหดในการรสร้างความเข้าใจแก่เจ้าของ

ประสบการณ์และความประทับใจจากการทำงาน
เหตุการณ์ประทับใจมีเยอะมากค่ะ เพราะแต่ละเคสก็แตกต่างกันออกไป ไม่ใช่เฉพาะเคสสัตว์ป่านะคะ แต่สัตว์ทุกตัวต่างมีเรื่องราวให้จดจำ มานั่งย้อนคิดไปก็ตลกตัวเองที่เคยไปดูหมอดูตอนก่อนจบแล้วหมอดูก็ทักว่าให้ระวังอันตรายจากเขี้ยวเล็บงา เลี่ยงได้ให้เลี่ยง แต่สุดท้ายแล้วก็เลือกทำสัตว์ป่า เสี่ยงมันทุกอย่างที่หมอดูทัก โชคดีที่ตั้งแต่ทำงานมาก็ยังไม่เคยได้รับอุบัติเหตุใดร้ายแรง ถึงแม้จะมีประสบการณ์เฉียดตายให้ต้องวิ่งหนีช้างป่าและเกือบโดนเสือตะปบ แต่ปัจจุบันก็ยังรอดปลอดภัยดีและถ้าจะให้เลือกเรื่องที่ประทับใจมากเรื่องหนึ่ง คงเป็นเคสของช้างพังกาญจนาค่ะ

ตอนนั้นทำงานเป็นสัตวแพทย์ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลปศุสัตว์และสัตว์ป่า ปศุปาลัน ของคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตไทรโยค ที่จังหวัดกาญจนาบุรี พังกาญจนาเป็นช้างของกลางที่ทางปศุสัตว์จังหวัดกาญจนบุรียึดมา เพราะสงสัยว่าเป็นช้างป่าจะมาสวมทะเบียนเป็นช้างบ้าน ที่พังกาญจนาต้องถูกส่งมาอยู่ที่โรงพยาบาลเพราะว่าพบบาดแผลหลายตำแหน่งคล้ายถูกทรมานมาทั่วทั้งตัว ขาพิการอีกหนึ่งข้าง เรียกได้ว่าเป็นช้างที่สภาพแย่ที่สุดที่เคยเจอ และครั้งแรกที่เจอกันก็มีสภาพหวาดกลัวผู้คนมาก แถมเจ้าของยังบอกว่า ช้างตัวนี้ท้อง ทั้งหมดทั้งปวงที่กล่าวมานี้ทำให้พูดกับตัวเองได้อย่างเดียวว่า งานช้างจริงๆ เพราะไม่ใช่แค่บาดแผลที่เห็น แต่ยังรวมถึงสภาพจิตใจของช้างที่โดนทำร้ายมา ทำให้ทำงานยากก็เหมือนกับคนป่วยนั่นแหล่ะค่ะ ถ้าสภาพจิตใจดีอาการป่วยต่างๆก็หายไว ทำนองเดียวกันถ้าช้างรู้สึกเครียดและหวาดกลัวตลอดเวลาจากการที่เราจะต้องเข้าไปรักษาทุกวันก็คงไม่ดีแน่ แต่กาญจนาฉลาดมาก และเมื่อเวลาผ่านไป พวกเราสามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า เราไม่ได้มีเจตนาร้าย พังกาญจนาจึงเริ่มเชื่องกับทุกคนในโรงพยาบาลมากขึ้น มีการเรียนรู้และปรับตัวจนกลายเป็นเจ๊ประจำโรงช้างในที่สุด อยู่ยาวกว่าช้างเชือกไหนทั้งหมดที่เคยแอดมิด เกือบสองปีที่กาญจนาอยู่กับเรา

เนื่องจากกระบวนการหายของแผลช้างค่อนข้างจะยาวนานและแตกต่างกับสัตว์อื่นๆ บวกกับพฤติกรรมบางอย่าง เช่นแผลที่ดูเหมือนใกล้จะหายเธอก็เอางวงแกะบ้างเอางวงกอบดินแล้วเป่าเข้าไปในแผลให้มันเป็นหนองขึ้นมาใหม่เหมือนแกล้งกัน ดังนั้นบาดแผลต่างๆกว่าจะรักษาหายก็เลยใช้เวลากว่าครึ่งปี และหลังจากการตรวจร่างกายอย่างละเอียดก็พบว่าท้อง ถึงแม้จะฟังดูเป็นข่าวดีแต่มันก็แฝงเรื่องที่ให้กังวลใจอื่นๆตามมาคือ ขาที่พิการจะรับน้ำหนักลูกที่เพิ่มขึ้นได้หรือไม่ เชิงกรานที่ผิดรูปจะทำให้มีปัญหาตอนคลอดรึเปล่า และปัญหาต่างๆก็เริ่มแสดงให้เห็นทีละอย่าง ขาที่เคยพิการมาอยู่ก่อนนั้นทำให้รับน้ำหนักได้ไม่เต็มที่จึงไปเพิ่มงานให้ขาข้างที่ปกติจนขาเริ่มบวม ช่วงนั้นจึงทำงาน หมอนวดเป็นงานประจำและทำงานเป็นเด็กยกช้างเป็นงานพาร์ททาม เนื่องจากการเจ็บของขาส่งผลต่อการลุก และเมื่อท้องใหญ่ขึ้นการลุกหลังจากนอนจึงแทบทำไม่ได้ด้วยตัวเอง ต้องอาศัยเครนจากการไฟฟ้าและคนเกือบครึ่งโรงพยาบาลในการยกช้าง จนหลังๆก่อนรถของการไฟฟ้าจะออกไปทำงานจะแวะมาที่โรงพยาบาลมาถามก่อนว่าวันนี้จะให้ช่วยยกช้างไหมและสิ่งที่ทำเป็นประจำทุกเช้าคือล้างหน้าแปรงฟันแล้วเดินไปดูว่าเช้าแล้วคุณแม่ลุกยืนได้หรือยังแล้วค่อยกลับมาอาบน้ำหลังยกช้างเสร็จไม่เช่นนั้นก็จะมีดินแดงติดตัวไปทั้งวัน

พังกาญจนาตกลูกก่อนกำหนดที่เราเคยคาดการไว้ แต่ลูกช้างไม่ค่อยแข็งแรงนักอยู่ได้แค่ไม่นานก็จากไปและอีกไม่นานกาญจนาก็ล้มลง อย่างไรก็ตามการมาและจากไปของกาญจนามีแต่สิ่งที่น่าจดจำ เรื่องราวชีวิตของเธอเคยขึ้นเป็นหนึ่งกระทู้แนะนำในพันธุ์ทิพย์ที่มีหลายคนช่วยกันบริจาคเงินช่วยเหลือ กาญจนาเป็นแรงผลักดันให้ทางภาครัฐสนใจแก้ไขปัญหาการสวมทะเบียนช้างป่าอย่างจริงจัง เป็นแรงกระตุ้นให้คนในสังคมเห็นปัญหา เป็นแรงดึงดูดให้คนรักช้างมารวมตัวกัน เป็นอาจารย์ของนักศึกษาสัตวแพทย์จำนวนมากและเธอก็ยังอยู่ในใจของใครหลายๆคนมาจนถึงทุกวันนี้


คุณสมบัติสำคัญของอาชีพ "สัตวแพทย์"
คำตอบอาจจะดูเหมือนคำขวัญวันเด็กนะคะ ความรู้คู่คุณธรรมค่ะ จริงๆก็ไม่ใช่เฉพาะวิชาชีพสัตวแพทย์อย่างเดียวที่สมควรมีอาชีพอื่นๆก็ด้วยเพราะนอกจากความรู้ที่เราได้รับจากการเรียนแล้วเราควรต้องมีจิตใจที่ดีที่นึกถึงสวัสดิภาพของสัตว์เป็นสำคัญ นั่นก็หมายความว่าเราก็ควรจะต้องมีความอดทน ไม่ใช่หมายความว่าจะต้องถึกและบึกบึนเสมอไป(ก็อาจจะจำเป็นบ้างบางครั้งถ้าจะเลือกทำงานกับสัตว์ตัวใหญ่ๆ) แต่เราจะต้องอดทนทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้งานบางอย่างเราอาจจะไม่ชอบแต่เราก็ต้องนึกถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ ประกอบอาชีพอย่างมีจรรยาบรรณ ถ้าถามว่าจำเป็นต้องเป็นคนรักสัตว์หรือไม่ ถ้ามีคุณสมบัตินี้ก็ดีค่ะ ทำงานกับสิ่งที่เรารักจะได้มีกำลังใจ แต่ต้องเป็นคนรักสัตว์อย่างมีสติไม่มีจิตใจอ่อนไหวจนเกินไป

เป้าหมาย หรือ ความฝันที่อยากจะทำ ในฐานะสัตวแพทย์
อยากทำงานวิจัยในสัตว์ป่า และอยากให้ความรู้ที่มี สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อเป็นประโยชน์ในการอนุรักษ์สัตว์ป่าและป้องกันโรคสัตว์สู่คนต่อไปค่ะ อยากเป็นส่วนเล็กๆที่ช่วยพัฒนาชาติบ้านเมืองซึ่งก็คงจะต้องพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

ฝากถึงคนที่มีความฝันจะเป็นสัตวแพทย์
ถ้าคิดว่าสัตวแพทย์คืออีกหนึ่งงานที่อยากทำ อยากให้ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมหรือถ้ามีเวลาอาจจะไปขอลองฝึกงานดูว่าสัตวแพทย์เป็นหนึ่งงานในฝันรึเปล่าค่ะ ไม่อยากให้ต้องมาเสียเวลาเรียนหรือต้องทำในสิ่งที่ไม่ชอบ และถึงแม้จะเห็นว่ามีคลินิกรักษาสัตว์เปิดอยู่มากมายในเมือง แต่สัตวแพทย์ก็ยังคงเป็นวิชาชีพที่ขาดแคลนอยู่นะคะ สุดท้ายอยากฝากว่าไม่ใช่เฉพาะวิชาชีพสัตวแพทย์เท่านั้นที่มีหน้าที่จะดูแลสัตว์ แท้จริงแล้วเป็นหน้าที่ของทุกคน เปลี่ยนแปลงทัศนคติหันมาเห็นความสำคัญของสวัสดิภาพสัตว์ เลี้ยงสัตว์อย่างมีความรับผิดชอบ มีความรู้ความเข้าในเกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์ที่ถูกต้อง ไม่ซื้อขายหรือสนับสนุนสัตว์ที่ผิดกฎหมาย   อยากให้ทุกคนร่วมมือกันค่ะ

0 comments: