LightBlog

ด้วยความสนใจเกี่ยวกับต้นไม้ สมุนไพร พืชพันธุ์แปลกๆ มาตั้งแต่เด็ก คุณเต้ ณัฐวุฒิ อุดมศิริพงษ์ จึงเริ่มศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลด้วยตัวเ...

ด้วยความสนใจเกี่ยวกับต้นไม้ สมุนไพร พืชพันธุ์แปลกๆ มาตั้งแต่เด็ก คุณเต้ ณัฐวุฒิ อุดมศิริพงษ์ จึงเริ่มศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลด้วยตัวเอง จนกลายเป็นความรักในพืชพันธุ์ธรรมชาติ และตัดสินใจเรียนที่คณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาพฤกษศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ปัจจุบันคุณเต้ เป็นนักวิจัยทางพฤกษศาสตร์ อยู่ที่ศูนย์นวัตกรรมอุทยานแห่งชาติและพื้นที่คุ้มครอง จ.เชียงใหม่
"ดิกชันนารีต้นไม้เคลื่อนที่"
เดิมทีแล้วผมเคยคิดอยากเรียนแพทย์ เรียนเภสัช เพราะชอบวิชาชีววิทยา จนกระทั่งมีโอกาสได้ไปเข้าค่ายหมอถึง 3ครั้ง ทำให้ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ตัวเราเลย การเป็นหมอคงไม่เหมาะกับเรา เลยคิดว่าเราน่าจะเลือกเรียนในสิ่งที่เรามีความชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเลือกมาเรียนที่คณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาพฤกษศาสตร์ ในที่สุด
ด้วยความรู้สึกผูกพันกับมหาวิทยาลัยมหิดล ตั้งแต่ตอนที่เข้าค่ายวิทยาศาสตร์ที่นี่ ทำให้ผมรู้สึกชอบสถาบันนี้มาก เลยมุ่งมั่นที่จะสอบเข้าเรียนที่มหิดล ซึ่งพอผมได้เข้ามาเรียนที่นี่แล้ว ก็ยิ่งทำให้มั่นใจเลยว่าเราเลือกไม่ผิดจริงๆ เพราะนอกจากการเรียนรู้ในห้องเรียนแล้ว ยังได้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆของคณะและมหาวิทยาลัยในทุกกิจกรรม เช่น ชมรมอนุรักษ์ ทำธงวันมหิดล และกลุ่มสลึง ทำให้ได้รู้จักคนมากขึ้น ได้ประสบการณ์ดีๆ ที่มีค่ามากสำหรับผม
จากการสั่งสมความรู้เรื่องต้นไม้ เดินงานเกษตรแฟร์มาแล้วทุกซอกทุกมุมตั้งแต่มัธยมต้น กลายเป็นผู้รอบรู้เรื่องต้นไม้ และพืชพรรณธรรมชาติ ใครมีคำถามหรือสงสัยอะไรเกี่ยวกับพืชพรรณต้นไม้ต่างๆ ก็จะต้องนึกถึงคุณเต้ จนเพื่อนๆตั้งฉายาให้เป็น "ดิกชันนารีต้นไม้เคลื่อนที่" เลยทีเดียว
บทบาทหน้าที่ของนักวิจัยทางพฤกษศาสตร์
นอกจากการหาชื่อพันธุ์พืชต้นไม้ ว่ามีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่าอะไร มีประโยชน์อะไรบ้าง การเป็นนักวิจัยทางด้านพฤกษศาสตร์ยังมีหน้าที่หลักๆอยู่ 3 ส่วนด้วยกันคือ 1) การเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพืชพันธุ์ต้นไม้จากแปลงตัวอย่างถาวร 2) คำนวน/ประมวลผลข้อมูล และ 3) สรุปและประเมินผลการเปลี่ยนแปลงของต้นไม้ โดยผลการวิจัยของแต่ละแปลงตัวอย่าง จะสามารถนำมาวิเคราะห์ได้ถึงความสัมพันธ์และความแตกต่างของการเจริญเติบโตของต้นไม้แต่ละชนิดกับพื้นที่ปลูกที่แตกต่างกัน
การเข้าป่าเก็บข้อมูลจากแปลงตัวอย่างถาวรเป็นงานประจำของนักวิจัยครับ แปลงตัวอย่างถาวรจะมีขนาดพื้นที่120x120 ตารางเมตร ถือเป็นตัวแทนป่าไม้ของไทย ซึ่งผมจะดูแลในส่วนป่าเต็งลัง ป่าเบญจพรรณ โดยทำการตรวจและเก็บข้อมูลการเจริญเติบโตของต้นไม้ในแปลงอย่างน้อยเดือนละครั้งด้วยการวัดขนาดเส้นรอบวง ความสูง การออกดอกออกผล ระดับอุณหภูมิและความชื้น แล้วนำข้อมูลต่างๆเหล่านี้ไปบันทึกจัดเก็บเป็นฐานข้อมูล ซึ่งจะมีการเข้าป่าจัดเก็บข้อมูลใหญ่อย่างละเอียดปีละครั้งเพื่อนำไปประเมินผลในเชิงเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม

เด็ดดอกไม้ดอกเดียว สะเทือนถึงดวงจันทร์
ฐานข้อมูลที่เราทำการจัดเก็บ นอกจะนำมาประเมินความเปลี่ยนแปลง ความอุดมสมบูรณ์และลักษณะสภาพอากาศแล้ว ยังสามารถนำไปใช้อธิบายในเชิงเศรษศาสตร์ ดูทิศทางการใช้ทรัพยากรของคนในประเทศ วิเคราะห์ประเมินถึงแนวโน้มของปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เพื่อจะได้ร่วมมือกันคิดหาทางแก้ปัญหา เพราะระบบนิเวศแต่ละส่วนล้วนส่งผลกระทบถึงกันและกันการทำลายไส้เดือนเพียงตัวเดียวนั้น อาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศมากกว่าที่เราคิด เหมือนกับการเด็ดดอกไม้ดอกเดียว ก็อาจสะเทือนถึงดวงจันทร์
ทรัพยากรธรรมชาติเป็นสิ่งสำคัญ และมีอยู่อย่างจำกัด ในฐานะนักวิจัยทางพฤกษศาสตร์ ผมก็ได้มีโอกาสไปให้ความรู้แก่ชาวบ้านในเรื่องการดูแลการจัดการป่าและต้นไม้ ให้ตระหนักถึงประโยชน์ของป่าในหลายๆด้าน ไม่ใช่เพียงแค่หาประโยชน์จากการหาของป่ามาขายเท่านั้น 
งานที่อุทิศเพื่อส่วนรวม
การเป็นนักวิจัยทางพฤกษศาสตร์ อย่างที่รู้ว่าต้องทำงานอยู่ในป่าค่อนข้างลำบาก ไม่ได้มีความสะดวกสบายและต้องเจอกับแมลงต่างๆมากมาย ผมว่าใครที่อยากจะเข้ามาทำอาชีพนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมีใจรักมากๆ การทำงานต้องใช้ความอดทน เข้มแข็ง และอ่อนโยนไปด้วยในขณะเดียวกัน เพราะต้นไม้พืชพันธุ์ต่างๆต้องดูแลอย่างทะนุถนอม การทำงานอาชีพนี้ เปรียบเสมือนการปิดทองหลังพระ เป็นงานที่คอยดูแลระบบนิเวศเพื่อให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตเป็นปกติสุขและมีทรัพยากรใช้กันอย่างเพียงพอ

ธรรมชาติมีชีวิต
ผมอยากให้ทุกคนคิดถึงส่วนรวมเวลาไปเดินป่าอยากให้เล็งเห็นถึงคุณค่าของสิ่งเล็กๆน้อยๆ ไม่ใช่เพียงแค่การได้เข้าไปเก็บภาพสวยๆเท่านั้น เพราะการถ่ายภาพในบางจุดที่คุณต้องเหยียบย่ำต้นไม้เล็กๆเข้าไปนั้น สามารถส่งผลต่อระบบนิเวศได้ทั้งระบบ
ธรรมชาติไม่เพียงมีชีวิต แต่ยังสำคัญต่อการดำรงชีวิตของเราทุกคนเช่นกัน

2 ปีสุดท้าย กว่าจะได้เป็นสัตวแพทย์ พอขึ้นเรียนปี 5 จะเริ่มเรียนวิชา อายุรศาสตร์ ก็คือการรักษาและการจัดการที่เป็นการนำความรู้ตั้ง...

2 ปีสุดท้าย กว่าจะได้เป็นสัตวแพทย์
พอขึ้นเรียนปี5 จะเริ่มเรียนวิชา อายุรศาสตร์ ก็คือการรักษาและการจัดการที่เป็นการนำความรู้ตั้งแต่ที่เรียนมาทั้งหมดมาประยุกต์ใช้ ซึ่งก็จะแบ่งออกไปตามชนิดของสัตว์ ได้แก่ สัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ สัตว์ปีก สุกรม้า สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษ สัตว์น้ำ สัตว์ทดลอง บอกได้เลยว่าโหดหิน ดูดพลังชีวิตอย่างมากต้องอ่านหนังสือกันอย่างบ้าคลั่งวิชาอายุรศาสตร์ จะเรียนทฤษฎีไปพร้อมๆกับฝึกปฏิบัติ การฝึกปฏิบัติโดยมากก็จะตามอาจารย์ไปทำเคสต่างๆ ดังนั้นเราควรจะต้องเตรียมตัวไปให้ดีที่สุดเพื่อที่จะตอบคำถามของอาจารย์ให้ได้ แต่โดยส่วนมากสิ่งที่เตรียมไปมักจะไม่ได้เจอ สิ่งที่เจอมักจะไม่ได้เตรียมไป เลยจะถูกอาจารย์ปลิดชีพด้วยคำถามที่ไม่สามารถตอบได้อยู่บ่อยๆ ก่อนฝังกลบแกก็จะสั่งให้กลับไปหาคำตอบมาเพิ่มเติม ถ้าเรากลับมาตอบได้ก็จะมีสิทธิ์ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง

การถามของอาจารย์เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้และคนไข้ของเราก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือนัก ถามว่าเป็นอะไรก็ไม่บอกได้แต่ทำท่าหงอยๆใส่ หรือคนไข้บางคนก็ไม่ให้ความร่วมมืออย่างชัดเจนโดยการข่วนหรือกัด ยิ่งถ้าเจ้าของบอกว่า สุนัขพี่ไม่เคยกัดใครเค้าเป็นเด็กดี ยิ่งต้องระวังไว้เป็นพิเศษเลยค่ะ เพราะโดยมากจะมากัดเราเป็นรายแรก เคยคุยกับเพื่อนที่เรียนแพทย์ เค้าเปรียบเปรยให้ฟังว่า ดูแล้วสัตวแพทย์จะทำงานคล้ายกุมารแพทย์ ที่คนไข้เป็นเด็กไม่สามารถอธิบายว่าป่วยเป็นอะไร สิ่งที่เราจะต้องทำคือต้องสังเกตอาการของผู้ป่วยเอาเอง พยายามรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุดจากการสังเกตอาการและการตรวจร่างกายด้วยเทคนิคต่างๆก่อนจะตั้งข้อสันนิษฐานว่าสัตว์ป่วยเป็นอะไร.....มันยากตรงนั้นค่ะ และก็ยากยิ่งขึ้นไปอีกที่สัตว์แต่ละชนิดมีโครงสร้างและระบบการทำงานของร่างกายที่แตกต่างกันการรักษาจึงต้องแตกต่างกันไปอีกด้วย

สำหรับปี6 เป็นปีแห่งการฝึกงานค่ะ ไม่มีการเรียนการสอนมีแต่จะให้ขึ้นคลินิกฝึกงานเรียกกันสั้นๆว่า Clinical Rotation โดยแบ่งออกเป็น 7 Stations ได้แก่ สัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษ สัตว์น้ำ ม้า สุกร และสัตว์ปีก ตอนเรียนอาจารย์จะให้จับเป็นกลุ่มกลุ่มละ 4 คน แต่ละกลุ่มจะแยกย้ายกันออกไปฝึกแต่ละที่ที่ละสามอาทิตย์เวียนไปเรื่อยๆจนทุกกลุ่มได้ฝึกครบทุก 7 ชนิดของสัตว์ การฝึกงานทำให้ได้พบเจอประสบการณ์มากมาย บาง Station เราอาจจะต้องรับเคสมือเป็นระวิง ในขณะที่บางStationก็ไม่ได้ทำการรักษาสัตว์เลยซักตัว แต่เราต้องเรียนรู้เรื่องการจัดการ บาง Station อาจจะมีอาจารย์คอยแนะนำ แต่บาง Station คนที่สอนเราก็เป็นเพียงแค่คนงานพม่าที่พูดไทยยังไม่ชัดดี แต่เชี่ยวชาญอย่างยิ่งในสิ่งที่เค้าทำ ดังนั้นสิ่งที่ได้จากตอนฝึกงานจึงไม่ใช่เฉพาะความรู้ทางด้านวิชาการ แต่ยังได้ประสบการณ์อื่นๆอีกมากมายซึ่งถือเป็นการเตรียมความพร้อมที่สำคัญก่อนที่จะจบไปเป็นสัตวแพทย์เต็มตัว  สนุกกว่าการนั่งเรียนหนังสือในห้อง แต่จะเหนื่อยหน่อยก็ตรงที่แทบจะไม่ได้หยุดพัก วันเสาร์-อาทิตย์หลังฝึกเสร็จก็ทำได้แค่รื้อเสื้อผ้าเก่าออกจากกระเป๋า ซัก และยัดมันกลับเข้าไปใหม่เพื่อเตรียมไป Station ถัดไป

และเมื่อวนครบแล้วจะมีเวลาอีกประมาณ 2เดือน ให้ได้เลือกฝึกเพิ่มเติมในชนิดสัตว์ที่เราสนใจ นอกจากนี้ก่อนจบเราจะต้องทำงานวิจัย 1 เรื่อง แล้วจะมีการสอบทบทวนความรู้ก่อนจบค่ะเรียกกันว่า Exit Exam ซึ่งจะมีการสอบข้อเขียน และสอบสัมภาษณ์รายตัวจากผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ โดยอาจจะเป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยอื่น หรือ คุณหมอที่มีประสบการณ์ ต้องสอบให้ผ่านและก่อนจะออกมาทำงานได้อย่างถูกกฎหมาย สัตวแพทย์จะต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ ซึ่งจะได้มาก็ต่อเมื่อเราสอบผ่านการสอบที่จัดขึ้นโดยสัตวแพทยสภา 
กล้ายืนยันค่ะว่าเรียนสัตวแพทย์อย่างไรก็ไม่ตกงาน แต่เรื่องหางานทำให้ตรงกับความชอบตัวเองได้หรือไม่นั่นก็เป็นอีกเรื่อง เพราะมีงานหลากหลายสาขาให้เลือกน่าจะซักไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาสัตวแพทย์ ที่รู้ตัวเองแน่นอนตั้งแต่เริ่มเรียนว่าจบไปแล้วจะทำงานกับสัตว์ชนิดไหน หรือทำงานอะไร ซึ่งโดยส่วนตัวกว่าจะตัดสินใจเลือกได้ก็ตอนปี 6 เลยค่ะ ใช้เวลาระหว่างเรียนและฝึกงานค่อยๆค้นหาตัวเอง ตัดตัวเลือกที่ไม่เข้ากับจริตตัวเองออกไป จนสุดท้ายแล้วตัดสินใจที่จะทำสัตว์ป่าค่ะ

ชีวิตการทำงานของสัตวแพทย์
ในฐานะที่ก็เคยเป็นเด็กมัธยมโลกสวยมาก่อน บอกได้เลยค่ะว่ายังมีอีกหลายแง่มุมที่คนไม่ทราบและหลายแง่มุมที่คนบางส่วนรับไม่ได้ ภาพสัตวแพทย์ในจินตนาการเริ่มสั่นคลอนตั้งแต่เข้าสอบสัมภาษณ์ก่อนเข้าเรียนค่ะ มีอาจารย์ท่านหนึ่งถามว่า ถ้าต้องฆ่าสัตว์ ทำได้รึเปล่า?” ตอนที่ถูกถามก็ตกใจค่ะ เพราะเราคิดว่าเป็นสัตวแพทย์ก็ต้องรักษาสัตว์สิ ทำไมจะต้องฆ่า แต่เมื่อเข้ามาเรียนแล้วก็ทำให้รู้ว่าการกระทำทุกอย่างมีเหตุผล  เราไม่อาจจะปล่อยให้เค้าต้องทุกข์ทรมาน การทำให้เค้าหลับไปอย่างสบายที่สุด เจ็บปวด ทรมานน้อยที่สุดก็เป็นอีกงานหนึ่งที่สัตวแพทย์จำเป็นต้องทำ

เรามักจะโดนคาดหวังจากสังคมค่ะ (เหมือนคนทีทำงานทางแพทย์อื่นๆ) มีคนมาปรึกษาปัญหาสัตว์เลี้ยง ตั้งแต่ทราบว่าได้เข้าเรียนคณะสัตวแพทย์ ทั้งๆที่อยู่แค่ปี 1 ที่ได้เรียนแค่วิชาพื้นฐาน ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวกระตุ้นให้ต้องหาความรู้เพิ่มเติม

อย่างที่ทราบกันว่างานหลักของสัตวแพทย์คืองานรักษาสัตว์ แต่อีกงานที่สำคัญมากคืองานรักษาสภาพจิตใจเจ้าของสัตว์ เพราะปัจจุบันเจ้าของและสัตว์เลี้ยงมีความผูกพันกันมากเหมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว การพูดคุยชี้แจงให้เจ้าของเข้าใจถึงสภานะการณ์ของสัตว์เลี้ยงเป็นเรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่ง และเจ้าของมีหลายประเภทค่ะคนส่วนมากที่เลี้ยงสัตว์ก็มักจะเริ่มจากมีจิตใจที่รักสัตว์ แต่ก็ไม่ใช่คนที่เลี้ยงสัตว์ทุกคนจะมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับสัตว์ที่ตนเลี้ยงหลายครั้งที่การรักและเลี้ยงแบบผิดๆเป็นการทำร้ายสัตว์เลี้ยงของตัวเอง ดังนั้นเราอาจจะต้องสวมบทโหดในการรสร้างความเข้าใจแก่เจ้าของ

ประสบการณ์และความประทับใจจากการทำงาน
เหตุการณ์ประทับใจมีเยอะมากค่ะ เพราะแต่ละเคสก็แตกต่างกันออกไป ไม่ใช่เฉพาะเคสสัตว์ป่านะคะ แต่สัตว์ทุกตัวต่างมีเรื่องราวให้จดจำ มานั่งย้อนคิดไปก็ตลกตัวเองที่เคยไปดูหมอดูตอนก่อนจบแล้วหมอดูก็ทักว่าให้ระวังอันตรายจากเขี้ยวเล็บงา เลี่ยงได้ให้เลี่ยง แต่สุดท้ายแล้วก็เลือกทำสัตว์ป่า เสี่ยงมันทุกอย่างที่หมอดูทัก โชคดีที่ตั้งแต่ทำงานมาก็ยังไม่เคยได้รับอุบัติเหตุใดร้ายแรง ถึงแม้จะมีประสบการณ์เฉียดตายให้ต้องวิ่งหนีช้างป่าและเกือบโดนเสือตะปบ แต่ปัจจุบันก็ยังรอดปลอดภัยดีและถ้าจะให้เลือกเรื่องที่ประทับใจมากเรื่องหนึ่ง คงเป็นเคสของช้างพังกาญจนาค่ะ

ตอนนั้นทำงานเป็นสัตวแพทย์ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลปศุสัตว์และสัตว์ป่า ปศุปาลัน ของคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตไทรโยค ที่จังหวัดกาญจนาบุรี พังกาญจนาเป็นช้างของกลางที่ทางปศุสัตว์จังหวัดกาญจนบุรียึดมา เพราะสงสัยว่าเป็นช้างป่าจะมาสวมทะเบียนเป็นช้างบ้าน ที่พังกาญจนาต้องถูกส่งมาอยู่ที่โรงพยาบาลเพราะว่าพบบาดแผลหลายตำแหน่งคล้ายถูกทรมานมาทั่วทั้งตัว ขาพิการอีกหนึ่งข้าง เรียกได้ว่าเป็นช้างที่สภาพแย่ที่สุดที่เคยเจอ และครั้งแรกที่เจอกันก็มีสภาพหวาดกลัวผู้คนมาก แถมเจ้าของยังบอกว่า ช้างตัวนี้ท้อง ทั้งหมดทั้งปวงที่กล่าวมานี้ทำให้พูดกับตัวเองได้อย่างเดียวว่า งานช้างจริงๆ เพราะไม่ใช่แค่บาดแผลที่เห็น แต่ยังรวมถึงสภาพจิตใจของช้างที่โดนทำร้ายมา ทำให้ทำงานยากก็เหมือนกับคนป่วยนั่นแหล่ะค่ะ ถ้าสภาพจิตใจดีอาการป่วยต่างๆก็หายไว ทำนองเดียวกันถ้าช้างรู้สึกเครียดและหวาดกลัวตลอดเวลาจากการที่เราจะต้องเข้าไปรักษาทุกวันก็คงไม่ดีแน่ แต่กาญจนาฉลาดมาก และเมื่อเวลาผ่านไป พวกเราสามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า เราไม่ได้มีเจตนาร้าย พังกาญจนาจึงเริ่มเชื่องกับทุกคนในโรงพยาบาลมากขึ้น มีการเรียนรู้และปรับตัวจนกลายเป็นเจ๊ประจำโรงช้างในที่สุด อยู่ยาวกว่าช้างเชือกไหนทั้งหมดที่เคยแอดมิด เกือบสองปีที่กาญจนาอยู่กับเรา

เนื่องจากกระบวนการหายของแผลช้างค่อนข้างจะยาวนานและแตกต่างกับสัตว์อื่นๆ บวกกับพฤติกรรมบางอย่าง เช่นแผลที่ดูเหมือนใกล้จะหายเธอก็เอางวงแกะบ้างเอางวงกอบดินแล้วเป่าเข้าไปในแผลให้มันเป็นหนองขึ้นมาใหม่เหมือนแกล้งกัน ดังนั้นบาดแผลต่างๆกว่าจะรักษาหายก็เลยใช้เวลากว่าครึ่งปี และหลังจากการตรวจร่างกายอย่างละเอียดก็พบว่าท้อง ถึงแม้จะฟังดูเป็นข่าวดีแต่มันก็แฝงเรื่องที่ให้กังวลใจอื่นๆตามมาคือ ขาที่พิการจะรับน้ำหนักลูกที่เพิ่มขึ้นได้หรือไม่ เชิงกรานที่ผิดรูปจะทำให้มีปัญหาตอนคลอดรึเปล่า และปัญหาต่างๆก็เริ่มแสดงให้เห็นทีละอย่าง ขาที่เคยพิการมาอยู่ก่อนนั้นทำให้รับน้ำหนักได้ไม่เต็มที่จึงไปเพิ่มงานให้ขาข้างที่ปกติจนขาเริ่มบวม ช่วงนั้นจึงทำงาน หมอนวดเป็นงานประจำและทำงานเป็นเด็กยกช้างเป็นงานพาร์ททาม เนื่องจากการเจ็บของขาส่งผลต่อการลุก และเมื่อท้องใหญ่ขึ้นการลุกหลังจากนอนจึงแทบทำไม่ได้ด้วยตัวเอง ต้องอาศัยเครนจากการไฟฟ้าและคนเกือบครึ่งโรงพยาบาลในการยกช้าง จนหลังๆก่อนรถของการไฟฟ้าจะออกไปทำงานจะแวะมาที่โรงพยาบาลมาถามก่อนว่าวันนี้จะให้ช่วยยกช้างไหมและสิ่งที่ทำเป็นประจำทุกเช้าคือล้างหน้าแปรงฟันแล้วเดินไปดูว่าเช้าแล้วคุณแม่ลุกยืนได้หรือยังแล้วค่อยกลับมาอาบน้ำหลังยกช้างเสร็จไม่เช่นนั้นก็จะมีดินแดงติดตัวไปทั้งวัน

พังกาญจนาตกลูกก่อนกำหนดที่เราเคยคาดการไว้ แต่ลูกช้างไม่ค่อยแข็งแรงนักอยู่ได้แค่ไม่นานก็จากไปและอีกไม่นานกาญจนาก็ล้มลง อย่างไรก็ตามการมาและจากไปของกาญจนามีแต่สิ่งที่น่าจดจำ เรื่องราวชีวิตของเธอเคยขึ้นเป็นหนึ่งกระทู้แนะนำในพันธุ์ทิพย์ที่มีหลายคนช่วยกันบริจาคเงินช่วยเหลือ กาญจนาเป็นแรงผลักดันให้ทางภาครัฐสนใจแก้ไขปัญหาการสวมทะเบียนช้างป่าอย่างจริงจัง เป็นแรงกระตุ้นให้คนในสังคมเห็นปัญหา เป็นแรงดึงดูดให้คนรักช้างมารวมตัวกัน เป็นอาจารย์ของนักศึกษาสัตวแพทย์จำนวนมากและเธอก็ยังอยู่ในใจของใครหลายๆคนมาจนถึงทุกวันนี้


คุณสมบัติสำคัญของอาชีพ "สัตวแพทย์"
คำตอบอาจจะดูเหมือนคำขวัญวันเด็กนะคะ ความรู้คู่คุณธรรมค่ะ จริงๆก็ไม่ใช่เฉพาะวิชาชีพสัตวแพทย์อย่างเดียวที่สมควรมีอาชีพอื่นๆก็ด้วยเพราะนอกจากความรู้ที่เราได้รับจากการเรียนแล้วเราควรต้องมีจิตใจที่ดีที่นึกถึงสวัสดิภาพของสัตว์เป็นสำคัญ นั่นก็หมายความว่าเราก็ควรจะต้องมีความอดทน ไม่ใช่หมายความว่าจะต้องถึกและบึกบึนเสมอไป(ก็อาจจะจำเป็นบ้างบางครั้งถ้าจะเลือกทำงานกับสัตว์ตัวใหญ่ๆ) แต่เราจะต้องอดทนทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้งานบางอย่างเราอาจจะไม่ชอบแต่เราก็ต้องนึกถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ ประกอบอาชีพอย่างมีจรรยาบรรณ ถ้าถามว่าจำเป็นต้องเป็นคนรักสัตว์หรือไม่ ถ้ามีคุณสมบัตินี้ก็ดีค่ะ ทำงานกับสิ่งที่เรารักจะได้มีกำลังใจ แต่ต้องเป็นคนรักสัตว์อย่างมีสติไม่มีจิตใจอ่อนไหวจนเกินไป

เป้าหมาย หรือ ความฝันที่อยากจะทำ ในฐานะสัตวแพทย์
อยากทำงานวิจัยในสัตว์ป่า และอยากให้ความรู้ที่มี สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อเป็นประโยชน์ในการอนุรักษ์สัตว์ป่าและป้องกันโรคสัตว์สู่คนต่อไปค่ะ อยากเป็นส่วนเล็กๆที่ช่วยพัฒนาชาติบ้านเมืองซึ่งก็คงจะต้องพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

ฝากถึงคนที่มีความฝันจะเป็นสัตวแพทย์
ถ้าคิดว่าสัตวแพทย์คืออีกหนึ่งงานที่อยากทำ อยากให้ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมหรือถ้ามีเวลาอาจจะไปขอลองฝึกงานดูว่าสัตวแพทย์เป็นหนึ่งงานในฝันรึเปล่าค่ะ ไม่อยากให้ต้องมาเสียเวลาเรียนหรือต้องทำในสิ่งที่ไม่ชอบ และถึงแม้จะเห็นว่ามีคลินิกรักษาสัตว์เปิดอยู่มากมายในเมือง แต่สัตวแพทย์ก็ยังคงเป็นวิชาชีพที่ขาดแคลนอยู่นะคะ สุดท้ายอยากฝากว่าไม่ใช่เฉพาะวิชาชีพสัตวแพทย์เท่านั้นที่มีหน้าที่จะดูแลสัตว์ แท้จริงแล้วเป็นหน้าที่ของทุกคน เปลี่ยนแปลงทัศนคติหันมาเห็นความสำคัญของสวัสดิภาพสัตว์ เลี้ยงสัตว์อย่างมีความรับผิดชอบ มีความรู้ความเข้าในเกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์ที่ถูกต้อง ไม่ซื้อขายหรือสนับสนุนสัตว์ที่ผิดกฎหมาย   อยากให้ทุกคนร่วมมือกันค่ะ

ถ้าพูดถึงอาชีพในฝันของใครหลายๆคน หนึ่งในนั้นต้องมีอาชีพหมออย่างแน่นอน ซึ่งอาชีพหมอนี้ก็มีหลากหลายสาขาที่น่าสนใจมากมาย วันนี้ Guest ...


ถ้าพูดถึงอาชีพในฝันของใครหลายๆคน หนึ่งในนั้นต้องมีอาชีพหมออย่างแน่นอน ซึ่งอาชีพหมอนี้ก็มีหลากหลายสาขาที่น่าสนใจมากมาย วันนี้ Guest Studyจะพาไปรู้จักกับอาชีพหมอรักษาสัตว์ หรือ ที่เราเรียกกันว่า "สัตวแพทย์" กับเกสต์สาวอารมณ์ดีของเรา หมอแอ้ม สพ.ญ.นรีรัตน์ สังขะไชย ปัจจุบันเธอเป็นผู้ช่วยวิจัยอยู่ที่ ศูนย์เฝ้าระวังและติดตามโรคจากสัตว์ป่าสัตว์ต่างถิ่นและสัตว์อพยพ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ใครที่กำลังสนใจอาชีพสัตวแพทย์ พลาดไม่ได้กับเรื่องราวการเรียนและการทำงานที่เกสต์ของเราได้แชร์ประสบการณ์ของเธอได้อย่างสนุกสนานและเป็นประโยชน์อย่างมากเลยทีเดียว   

แรงบันดาลใจที่อยากจะเป็นสัตวแพทย์
สพ.ญ.นรีรัตน์ สังขะไชย แค่เปิดตัวก็เห็นข้อดีของอาชีพนี้แล้วนะคะว่า ต่อให้เราโสด ก็ไม่จำเป็นต้องใช้คำนำหน้าว่านางสาว (หัวเราะ) แต่มันก็สื่อให้เห็นถึงหน้าที่การงานที่ทำได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ
จริงๆแล้วต้องบอกเลยว่าเข้ามาเรียนสัตวแพทย์ด้วยความไม่รู้ค่ะ ไม่ได้หาข้อมูลก่อนเลยว่าจะต้องเรียนอะไรบ้าง เราเลือกเรียนจากภาพของสัตวแพทย์ที่มีอยู่ในจินตนาการของตัวเองในตอนนั้น คิดว่าถ้าเรียนสัตวแพทย์ก็จะได้ช่วยเหลือสัตว์ที่ป่วย และไม่ต้องทำงานอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม เพราะส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบสัตว์ และชอบการเดินทางค่ะ  

หลากอารมณ์ หลายรสชาติ กับประสบการณ์เรียนสัตวแพทย์
สัตวแพทย์ต้องเรียนทั้งหมด 6 ปี ถ้าจะแบ่งวงจรชีวิตของนักศึกษาสัตวแพทย์คร่าวๆ จะแบ่งได้เป็น 2 ช่วง (ปี1เรียนวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐานทั่วไปขออนุญาตไม่นับนะคะ)
ช่วงแรกคือ PRE-CLINIC ปี 2 และปี 3 จะเรียนวิชาพื้นฐานทางสัตวแพทย์ โดยรวมวิชาที่เรียนในช่วงนี้จะทำให้เรารู้จักสิ่งปกติ ส่วนช่วงที่ 2คือ CLINIC  ปี 4 ถึงปี 6 ที่จะเรียนเกี่ยวกับสิ่งผิดปกติ การรักษาหรือจัดการสิ่งผิดปกติเหล่านั้น

จริงๆแล้ว การเรียนก็คล้ายกับนักศึกษาแพทย์ทั่วไปค่ะ นักศึกษาสัตวแพทย์ก็ต้องเรียนกับอาจารย์ใหญ่เหมือนกัน จะต่างกันก็ตรงที่อาจารย์ใหญ่ของเราเป็นสัตว์และมีความหลากหลายมากกว่า เราเรียนกับอาจารย์ใหญ่ที่เป็นสุนัขเป็นหลัก และเรียนกับอาจารย์ใหญ่ที่เป็นสัตว์อื่นเช่น สุกร ม้า วัว ไก่ เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของสัตว์แต่ละชนิด

ครั้งแรกที่ได้เรียนกับอาจารย์ใหญ่ ไม่รู้สึกกลัวนะคะ แต่รู้สึกทรมานกับกลิ่นฟอร์มาลีนที่คละคลุ้งซะจนแสบตามากกว่า แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็เริ่มชินค่ะ นอกจากจะชินกับกลิ่นเฉพาะตัวของฟอร์มาลีนแล้ว ก็ยังชินกับสายตาของคนอื่นๆที่มองเด็กสัตวแพทย์ตอนไปทานข้าวที่โรงอาหารกลางอีกด้วย เพราะต่อให้ใส่เสื้อกาวน์ยาวตอนเรียน กลิ่นก็จะยังจะติดตัวไปอยู่ดี

ช่วงใกล้สอบ พวกเราก็แทบจะกินนอนกันอยู่ในห้อง ANATOMY (กายวิภาคศาสตร์) เพราะจะต้องท่องชื่อกระดูก กล้ามเนื้อ และอวัยวะต่างๆให้ได้ บางครั้งก็จะนัดกันกับเพื่อนๆมานั่งผ่า นั่งท่องกันในห้องนี้นอกเวลาเรียน

บรรยากาศในห้องที่มีแต่อาจารย์ใหญ่ก็ไม่ได้น่ากลัวเสมอไปนะคะ มีครั้งหนึ่ง ระหว่างนั่งทบทวนบทเรียนกันอยู่ เพื่อนนักศึกษาสัตวแพทย์ชายคนหนึ่งสะกิดเพื่อนสาวแล้วชี้ไปที่อกด้านซ้ายของอาจารย์ใหญ่แล้วถามขึ้นว่า “รู้ไหมว่าเปิดไปแล้วจะเจออะไร” ฝ่ายหญิงก็มองตามแล้วตอบชื่อกล้ามเนื้อมัดหนึ่งออกมา ฝ่ายผู้ชายจึงพูดต่อว่า ”ไม่ใช่ ถ้าผ่าลงไปตรงนี้จะเจอหัวใจ” แล้วก็เอามือมาวางที่อกซ้ายของตัวเองพร้อมบอกว่า “ถ้าเปิดไปตรงนี้ก็จะเจอหัวใจ”....คู่นี้เลยกลายเป็น “คู่รักหมาเน่า” ที่โจษจันกันมาถึงปัจจุบัน (หัวเราะ)

ช่วงPRE-CLINIC วิชาที่เรียนส่วนมากจะเน้นการท่องจำและอยู่ในห้องเรียนเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น วิชาBody Structure and Function ที่รวมเอากายวิภาคศาสตร์, จุลกายวิภาคศาสตร์ (Histology) และ สรีระวิทยา (physiology) มาอยู่รวมกัน และเรียนติดกันถึง 3 เทอม (แต่ละมหาวิทยาลัยจัดการเรียนการสอนไม่เหมือนกันนะคะแต่เนื้อหาที่เรียนจะคล้ายกัน) วิชาปรสิตวิทยาทางสัตวแพทย์ ที่ต้องศึกษาวงจรชีวิตของพยาธิ เห็บ หมัด เหา ไร หรือการศึกษาสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าในวิชาจุลชีววิทยาทางสัตวแพทย์(Veterinary Microbiology) โอกาสจะได้สัมผัสสัตว์(เป็นๆ) มีบ้างเล็กน้อยในวิชาที่มีการสอนเรื่องการดูแลและจับบังคับเบื้องต้น ซึ่งต้องรู้ตั้งแต่สัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ สัตว์ปีก สัตว์น้ำ สัตว์ทดลองรวมไปถึงสัตว์ป่า

พอขึ้นปีสามเทอมสองก็จะได้เรียนวิชาพยาธิวิทยา ที่เป็นเหมือนหนังไตรภาคจะไปจบตอนปีสี่เทอมสอง ที่มันต้องเนิ่นนานขนาดนั้นก็เพราะสอนเกี่ยวกับกลไกการเกิดโรคและรอยโรคต่างๆ ที่มีมากมาย

มาถึงช่วงCLINIC จากที่ผ่าอาจารย์ใหญ่มาตอนปีเด็กๆ ก็จะได้เรียนผ่าซากในวิชาพยาธิวิทยา เราผ่าสัตว์ตายเพื่อหาว่าเค้าตายจากอะไร และเรียนผ่าตัดสัตว์เป็นๆในวิชาศัลยศาสตร์ ในการเรียนผ่าตัดจะมีการจับกลุ่ม กลุ่มละ 4 คนค่ะ เพราะโดยทั่วไปการผ่าตัดจะต้องมีคนทำหน้าที่เตรียมตัวสัตว์ วางยาสลบ ผู้ช่วยผ่าตัด และคนผ่าตัด และจะสลับสับเปลี่ยนหน้าที่กันไปเรื่อยๆในการผ่าตัดแต่ละครั้ง

ตั้งแต่ต้นเทอมแต่ละกลุ่มมอบหมายให้รับผิดชอบดูแลสุนัขหนึ่งตัวที่จะให้ในการเรียนตลอดหนึ่งเทอมเราต้องคอยคอยดูแลเก็บอุจจาระ ทำความสะอาดกรง ถ้าเริ่มมีผ่าตัดแล้วก็ต้องคอยให้ยา สังเกตุอาการหลังผ่าตัดว่าเค้ามีอาการผิดปกติอะไรหรือไม่ การเรียนช่วงนี้จึงแทบจะไม่มีวันหยุดเลยค่ะ เสาร์-อาทิตย์ต้องจัดเวรมาให้อาหาร พาเค้าออกมาเดินเล่น ถึงเราเหนื่อยแต่ถ้าเทียบกับสิ่งที่เค้าเสียสละให้เรามันดูเล็กน้อยไปเลยค่ะ
จำความรู้สึกการผ่าตัดครั้งแรกได้ว่าหัวใจเต้นเร็วและแรงมากตอนก่อนจะกรีดลงไป แล้วก็แม่นมากค่ะ ระหว่างผ่าดันไปตัดตรงเส้นเลือดพอดี เลือดทะลักละลาย(ความรู้สึกในตอนนั้น) ตกใจมากค่ะทำอะไรไม่ถูก เพื่อนผู้ช่วยก็ตกใจหยิบผ้าก๊อซซับเลือดเป็นพัลวัน เพื่อนคนวางยาเห็นท่าจะไม่ดีเลยตะโกนเรียกอาจารย์มาช่วย อาจารย์รีบวิ่งมาดูแล้วบอกว่า “อ้าว นิ่งกันทำไม หมอก็เอาที่หนีบ หนีบห้ามเลือดไว้สิ” และแกก็เดินจากไป...ก็จริงของแกค่ะ หนีบปุ๊บ หยุดปั๊บ เรียนก็เรียนมาแล้วแต่พอทำจริงลืมทุกอย่าง ไร้สติมาก พอห้ามเลือดได้ก็ทำกันต่อ สังเกตเห็นว่าตอนนั้นเพื่อนผู้ช่วยหน้าซีดๆ แต่เจ้าตัวบอกว่ายังไหว เลยช่วยทำกันไปจนเสร็จ พอเย็บแผลเสร็จ ปิดแผลเรียบร้อย เท่านั้นแหล่ะค่ะ เธอลงไปกองกับพื้น ทำท่าเหมือนจะเป็นลม อาจารย์และเพื่อนต้องช่วยกันยกออกไปนอกห้องผ่าตัด เธอก็ค่อยมาสารภาพว่า กลัวเลือด คือถ้าเลือดนิดหน่อยยังพอรับได้ แต่นิ่เลือดทะลักทะลายก็เลยไม่ไหวจะเคลียร์ และก็เป็นเพราะเธอกลัวเลือดนี่แหล่ะค่ะทำให้การผ่าตัดของเธอประณีตมาก จะตัดอะไรจะค่อยๆทำ ระมัดระวัง เป็นคนที่ใช้ผ้าก๊อซน้อยที่สุดในกลุ่ม

ถ้าคิดว่าการผ่าตัดตื่นเต้นแล้ว หลังผ่าตัดตื่นเต้นกว่าค่ะ ผ่าตัดครั้งหนึ่งก็กังวลไปอีก 7 วันโดยประมาณก็จนกว่าแผลภายนอกจะติดสนิทแล้วได้ตัดไหม คืนแรกหลังผ่าตัดเสร็จนอนแทบไม่หลับ คิดวกไปวนมา ว่าเอ๊ะ ผูกเส้นเลือดเส้นนั้นดีรึยังนะ เย็บตรงนั้นแน่นรึเปล่า ลุ้นว่าแผลจะแตกรึเปล่า เพราะถ้าแผลแตกก็เรื่องใหญ่ ต้องมาแก้ใหม่ซึ่งใช้พลังชีวิต และเวลานานยิ่งกว่าตอนทำครั้งแรกมาก สงสารสุนัขด้วย

สุนัขที่ใช้เรียนตอนนั้นชื่อ โดนัทค่ะ เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มตั้งชื่อจากขนสีน้ำตาลที่เห็นได้ชัดตรงรอบตาซ้ายที่ตัดกับขนทั่วตัวที่เหลือที่เป็นสีขาว จากที่เคยเรียนตอนปีสองว่า สุนัขเป็นสัตว์ที่ให้ความรักโดยไม่มีเงื่อนไขก็เห็นได้อย่างชัดเจนจากโดนัทนี่แหล่ะคะ ถึงแม้เราเพิ่งเจอกัน ถึงแม้บางครั้งเราจะทำเค้าเจ็บ แต่โดนัทก็ยังดีใจมากทุกครั้งที่ได้เห็นใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่ม จึงไม่แปลกที่โดนัทมักได้รับการปรนเปรอ ด้วยตับย่างเป็น ออเดิฟ ตามด้วยข้าวมันไก่พร้อมน้ำซุปของโปรด ถึงแม้คนกินมาม่าแต่น้องหมาต้องได้กินดี เป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆที่เราทำให้เค้าได้ จนถึงวันสุดท้ายที่เรียนผ่าตัด เศร้ามากค่ะ ไม่อยากจะทำเลย เพราะรู้ว่าหลังผ่าเสร็จเราต้องทำให้เค้าหลับ แล้วจากไปอย่างสบายที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ หรือเรียกว่า การุณฆาต เพราะตอนนั้นสุนัขจะใช้เป็นอาจารย์ใหญ่ของน้องปีสองยังไม่เพียงพอ  แน่นอนค่ะว่ามันดูโหดร้าย แต่แทนที่เค้าจะจากโลกนี้ไปอย่างเงียบๆเหมือนชีวิตสุนัขจรจัดทั่วไป เค้ากลับได้เสียสละอย่างใหญ่หลวง บริจาคร่างกายเพื่อเป็นประโยชน์แก่นักศึกษาให้ได้เรียนและได้ช่วยชีวิตสัตว์อื่นๆต่อไป แต่ในปัจจุบันนี้หลังเรียนเสร็จไม่มีการทำการการุณฆาตแล้วนะคะ นักศึกษาจะได้รับอนุญาตให้นำสุนัขที่เรียนกลับไปเป็นสมาชิกใหม่ในบ้านในบ้านได้ 

 >> อ่านต่อ ตอนที่2




Why Exercise Makes You Happy [infographic] เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าการออกกำลังกายทำให้ชีวิตเราดีขึ้น แต่ทราบมั้ยคะว่า การออกกำลังกายยั...


เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าการออกกำลังกายทำให้ชีวิตเราดีขึ้น แต่ทราบมั้ยคะว่า การออกกำลังกายยังช่วยให้เรามีความสุขอีกด้วย การออกกำลังเพียง 20นาที ช่วยให้อารมณ์ดีสดชื่นได้นานถึง 12ชั่วโมง และยิ่งไปกว่านั้น การออกกำลัง 30-60นาที 2-3ครั้งต่อสัปดาห์จะช่วยให้มีสุขภาพจิตที่ดียิ่งขึ้น

เวลาที่คุณรู้สึกแย่หรือกังวลใจใดๆ ให้ลองออกกำลัง ขยับร่างกายปลดปล่อยความเครียด จะช่วยให้จิตใจปลอดโปร่ง รวมไปถึงการฟังเพลงก็จะช่วยให้คุณมีอารมณ์ดีขึ้นเช่นกัน

การออกกำลังกายกลางแจ้งนั้น ให้ผลดีกว่าการออกกำลังในร่ม โดยเฉพาะในที่มีต้นไม้ร่มรื่นใกล้ชิดธรรมชาติ แต่ถ้าคุณชอบออกกำลังในร่มมากกว่า ก็อาจเพิ่มความเพลิดเพลินในการออกกำลังมากขึ้นด้วยการฟังเพลง หรือดูทีวีไปด้วยระหว่างออกกำลัง

ออกกำลังกายแต่ละวัน อย่างน้อยครั้งละ 30นาทีติดต่อกัน จะให้ผลลัพธ์ที่ดีต่ออารมณ์และจิตใจมากกว่าการออกกำลังสั้นๆ 10นาที 3ครั้งต่อวันนะคะ   

 "Exercise gives you endorphin, endorphin make you happy"  

ขอบคุณข้อมูลจาก Happify









Top 8 Hobbies to Boost Your Employability ในการคัดสรรว่าจ้างพนักงานของหลายๆบริษัท กิจกรรมหรืองานอดิเรกของผู้สมัครเป็นอีกสิ่งที่ผู้ว่าจ...

ในการคัดสรรว่าจ้างพนักงานของหลายๆบริษัท กิจกรรมหรืองานอดิเรกของผู้สมัครเป็นอีกสิ่งที่ผู้ว่าจ้างให้ความสำคัญ เพราะสามารถใช้เป็นเกณฑ์วัดความเหมาะสมทางด้านบุคลิกภาพ แม้ว่าคุณสมบัติและประสบการณ์จะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่งานอดิเรกจะเป็นสิ่งที่สร้างความน่าสนใจให้ตัวผู้สมัคร เพิ่มแนวโน้มการได้งานนั้นมากยิ่งขึ้น 

หลายคนคงสงสัยแล้วว่า งานอดิเรกอะไรบ้างล่ะที่จะช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพความน่าสนใจสนตัวเราได้ Kellogg School of Management ได้รวบรวมงานดิเรกไว้ 8 อย่างที่จะเป็นประโยชน์ต่อการสมัครงานมาให้ดูเป็นแนวทางกันค่ะ

1.กีฬาที่ต้องใช้ความอดทน  (Endurance sports)
กีฬาประเภทวิ่ง ปั่นจักรยาน และว่ายน้ำ บ่งบอกถึงความเป็นคนมุ่งมั่น มีความพยายาม ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของงานขาย หรือฝ่ายพัฒนาธุรกิจ (Business Development)

2.กิจกรรมท้าทาย/ความเสี่ยงสูง (High risk pursuits)
กิจกรรมจำพวกปีนเขา/ จักรยานภูเขา หรือกระโดดร่ม แสดงถึงความเป็นคนมีความคิดริเริ่มสิ่งใหม่ๆ สามารถคิดประเมินความเสี่ยง เป็นคุณสมบัติเด่นของตำแหน่งระดับหัวหน้างาน/ ทีม

3. กิจกรรมสร้างสรรค์ (Creative hobbies)
การทำอาหาร เพ้นท์รูป ถ่ายภาพ กิจกรรมเกี่ยวกับงานศิลปะทั้งหลาย ล้วนแสดงถึงความเป็นคนรักงานสร้างสรรค์ เป็นคุณสมบัติที่น่าสนใจสำหรับตำแหน่งงานด้านการตลาด ประชาสัมพันธ์ และงานออกแบบ

4. กีฬาประเภทกลุ่ม (Team sports)
กีฬาประเภททีมต่างๆ อย่างฟุตบอล หรือบาสเก็ตบอล เป็นตัวบ่งบอกว่าคุณสามารถทำงานเป็นทีมร่วมกับผู้อื่นได้ นับเป็นคุณสมบัติสำคัญในหลายธุรกิจ  

5. เกมวางแผน (Strategic mind games)
การเล่นหมากรุก เกมที่ต้องใช้ความคิดการวางแผน แสดงให้เห็นว่าคุณเป็นคนคิดอย่างมีระบบ  เหมาะกับตำแหน่งงานด้านวางแผนกลยุทธ์ กำหนดแผนนโยบายต่างๆขององค์กร

6. งานเขียนเชิงสร้างสรรค์ (Creative writing)
การแต่งกลอน เขียนเรื่องสั้น หรือเขียนบล็อกส่วนตัว เป็นคุณสมบัติโดดเด่น เป็นประโยชน์ต่องานด้านการสื่อสาร (Communications) งานประชาสัมพันธ์ รวมถึงงานที่เกี่ยวข้องกับสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media-Type)

7. กิจกรรมเกี่ยวกับการเรียนรู้ (Learning-Based Activity)
การอ่านหนังสือ เข้าห้องสมุดหรือพิพิธภัณฑ์ แสดงถึงความเป็นรักการเรียนรู้ เหมาะกับงานด้านวิจัยต่างๆ ที่ต้องมีการค้นคว้าความรู้ใหม่อยู่ตลอดเวลา

8. การเป็นสมาชิกกลุ่ม/ชมรม (Community group involvement)
งานอดิเรกประเภทนี้ บ่งบอกว่าคุณสามารถทำงานร่วมกับคนอื่นๆได้ดี เป็นคุณสมบัติสำคัญในตำแหน่งงานด้านการจัดการ (Managerial Role)

อย่างไรก็ตาม กิจกรรมงานอดิเรกต่างๆที่คุณระบุไว้นั้น ควรเป็นกิจกรรมที่คุณชอบจริงๆ ไม่ได้แต่งขึ้นเพียงเพื่อดึงดูดความสนใจบริษัทเท่านั้นด้วยนะคะ :)

ขอบคุณข้อมูลจาก Good.Co

เทรนด์ภาษาจีนกำลังมา ทั้งต่างชาติและไทยสนใจหันมาเรียนภาษาจีนเป็นภาษาที่ 3 กันมากมาย Guests Study รวบรวมข่าวสารทุนเรียนต่อในปี 2015 สำหรับ...

เทรนด์ภาษาจีนกำลังมา ทั้งต่างชาติและไทยสนใจหันมาเรียนภาษาจีนเป็นภาษาที่ 3 กันมากมาย Guests Study รวบรวมข่าวสารทุนเรียนต่อในปี2015 สำหรับคนที่สนใจจะเรียนต่อตรี โท เอก ไปอัพเดทข้อมูลกันเลย
ทุนรัฐบาลสิงคโปร์ ระดับปริญญาตรี ประจำปีการศึกษา 2014-2015
ทุนการศึกษานี้เป็นทุนเต็มเวลาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (National University of Singapore: NUS) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง (Nanyang Technology University: NTU) หรือที่มหาวิทยาลัยการจัดการสิงคโปร์ (Singapore Management University: SMU) ทั้งนี้นักเรียนอาจต้องเรียนหลักสูตร Bridging Course ก่อนเป็นเวลา 1 ปี สำหรับทุนนี้จะถือเอาความสามารถของนักเรียนเป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาอนุมัติทุน และเมื่อขณะกำลังศึกษาอยู่รัฐบาลสิงคโปร์อาจยุติการให้ทุนได้ ถ้าหากผลการเรียนไม่อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ
รายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://www.unigang.com/Article/16431

ทุนปริญญาตรี/โท/ เอก ของรัฐบาลจีน ขงจื้อ รัฐบาลท้องถิ่น และทุนมหาวิทยาลัย Xiamen University 2015 หมดเขต ปลายเดือนมีนาคม 2015
รายละเอียดทุนที่ http://admissions.xmu.edu.cn/en/scholarship/

ทุน CASS สำหรับบุคลากรในมหาวิทยาลัย/สถาบันวิจัย/สถาบันวิจัยที่ภาครัฐสนับสนุน
เปิดรับทุนใน 10 สาขาวิชา ดังนี้
 1.โลจิสติกส์ (Logistic)
2. ไอที และการสื่อสาร (IT & Communication)
3. ผลิตภัณฑ์อาหารและเกษตร (Food & Agriculture product)
4.ศิลปะ วัฒนธรรมและการศึกษา (Art Culture and Education)
 5.ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relations)
6.การเงินการธนาคาร (Money & Banking)
7.ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก (World Supply Chain)
8.การท่องเที่ยว (Tourism)
9.อุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อม (Industry and Environment)
10.การลงทุนของจีนในไทยและการลงทุนของไทยในจีน (Investment in China & Thailand)
รายละเอียดทุนที่ http://www.npu.ac.th/view_files.phpfiles_id=1413442674&group_upload=sch&files_name=3844_201410151141.pdf&type=F

ทุนรัฐบาลท้องถิ่น Jiangsu
Jasmine Jiangsu Government Scholarship China Pharmaceutical University
รายละเอียดทุนที่ http://wb.cpu.edu.cn/enDetail.aspx?id=390

สำหรับใครที่สนใจข้อมูลทุนการศึกษาประเทศจีนแบบอัพเดท เข้าไปดูรายละเอียดได้ที่
กลุ่มThai CSC ที่ https://www.facebook.com/groups/799665870071741/  

ขอบคุณข้อมูลจาก Thai CSC และ Unigang